วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

10 สูตรออมเงินของมหาเศรษฐี



หลายคนมักจะคิดว่าบรรดาคนรวย ๆ คงมีเงินเหลือกินเหลือใช้ไม่มีวันหมดจนไม่ต้องมาคิดเรื่องประหยัดให้เสียเวลา เสียอารมณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วคุณลองคิดดูสิว่าถ้าคนมีเงินใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่รู้จักวางแผนการเงิน เงินที่หามาได้ก็ย่อมมีวันหมดอยู่แล้ว ตรงกันข้ามบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ที่มีอีกมุมที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพวกเขามีวิธีการประหยัดเงินในแบบที่เรียกได้ว่าใครได้อ่านแล้วอาจจะช็อคไปนิดๆ เลยล่ะ เพราะไม่คิดว่าคนรวยเขาประหยัดกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าเศรษฐกิจทุกวันนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ เศรษฐีหลายคนเลยต้องหาวิธีประหยัดเงินเช่นเดียวกันกับคนทั่วไปเพื่อให้พวกเขามีเงินใช้ไปตลอด และถ้าหากคุณกำลังอยากรวยเหมือนเศรษฐีเหล่านั้นแล้วละก็ ลองทำตามวิธีประหยัดเงินที่ Investor  นำมาฝากกันค่ะ  

1. ระมัดระวังกับรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ 
คนเรามักจะไปพะวงกับรายจ่ายระดับบิ๊ก ๆ อย่างการลงทุน หรือการซื้อของราคาแพง ๆ อย่างไรก็ตาม คนเรามักจะประมาทกับรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ เพราะคิดว่าเป็นจำนวนเงินไม่มากคงไม่เป็นไร แต่รายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละที่พอจ่ายไปจ่ายมากลับกลายเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่ ! รวม ๆ แล้วเสียเงินมากกว่าการซื้อของแพง ๆ เสียอีก

2.  มองไกล ไปให้ถึงอนาคต
อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นลูกเสือหรือเปล่าถึงต้องมองไกล แต่การมองไกลในที่นี้หมายถึง ให้คุณคิดถึงอนาคตข้างหน้าเอาไว้มากๆ จะใช้จ่ายอะไรก็ให้คิดถึงความจำเป็นมาก่อน ไม่ใช่อยากได้อะไรก็ควักเงินออกมาแล้วจ่ายไป แล้วก็จบ คุณจะต้องหยุดใช้จ่ายไปกับของที่ฟุ่มเฟือยไม่ว่าคุณจะได้เงินเดือนมากหรือน้อยเท่าไรก็ตาม คิดให้มากๆ  ลองเปลี่ยนมามองไปยังอนาคตมากขึ้นแทนที่จะใช้จ่ายเพื่อสนองนี้ดตัวเองไปวันๆ ดีกว่าไหม

3. เลิกซื้อของฟุ่มเฟือยเพียงเพื่ออยากมีหน้ามีตาในสังคม
ใคร ๆ ก็อยากมีหน้ามีตา มีที่ยืนในสังคมกันทั้งนั้น หลายคนก็เลยเลือกที่จะใช้วิธีการซื้อของแพงๆ มาไว้ในครอบครองเพื่อให้คนอื่นมาเชยชมและให้การยอมรับ แต่ถ้าอยากรวย บอกเลยเราต้องมีลิมิตในตัวเอง พิจารณาดูว่าสิ่งไหนควรซื้อสิ่งไหนไม่ควรซื้อ และคุณควรที่จะซื้อเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปซื้อสิ่งของราคาเเพงๆ เพียงเพื่อให้คนอื่นมายอมรับในตัวคุณ เพราะอย่าลืมสิว่า คุณค่าของคนเราไม่ได้วัดกันที่ข้าวของที่มีในครอบครองเท่านั้นหรอกนะ แต่มันจะคูลกว่ามากถ้าคุณพิสูจน์ให้ใคร ๆ ได้เห็นว่า การใช้เงินอย่างคุ้มค่าไปกับของที่ชีวิตจำเป็นต้องมีนั้นทำให้ชีวิตดี๊ดีขนาดไหน 

4. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย
โลกใบนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้คุณอยากจะเสียเงินให้กับมัน ซึ่งถ้าคุณใช้จ่ายแบบไม่ลืมหูลืมตา สุดท้ายคุณจะไม่เหลือเงินเก็บเลยสักสลึงเดียว ยิ่งถ้าคุณไม่เคยวางแผนบริหารจัดการการใช้จ่ายของคุณเลย คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ได้เงินมาเท่าไร และใช้เงินไปเท่าไรแล้ว เพราะคนรวย ๆ ทุกคนรู้ว่าที่มาของเงินมาจากไหน และเงินออกไปไหนแล้วบ้าง ถ้าอยากทำรายรับรายจ่ายให้กลายเป็นคนรวยบ้างละก็ Excel ช่วยคุณได้

5. ทำงานให้หนักเข้าไว้
คนทั่วไปมักจะคิดว่าคนรวยต้องมีความสุขสนุกสนานกับการใช้ชีวิตแน่ ๆ เลย แต่ในความเป็นจริงมันตรงกันข้ามเลยล่ะ หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าเหล่าคนรวยนั้นทำงานหนักกว่าคนทั่วไปเสียอีก อย่างน้อยก็ในช่วงที่ยังหนุ่มยังแน่นยังมีกำลังทำงาน พวกเขาจะโหมงานหนักมาก ๆ เพราะเขาเชื่อว่า เงินทำงานตลอด 24 ชั่วโมงนะ ดังนั้นถ้าเราอยากได้เงินเยอะ ๆ ก็ไม่ควรจะอยู่นิ่งเฉยหรือรอเวลานี่นา จริงไหม ? 


6. รู้จักการอดออมโดยเก็บเป็นส่วนใหญ่และกินเป็นส่วนน้อย
ต้องมีสักครั้งสินะที่คิดไปเองว่า คนรวยคงเอาแต่ผลาญเงินไปวันๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เสมอไป เพราะหากคนรวยมัวแต่ควักกระเป๋าจ่ายไปโดยไม่ยั้งคิด เขาจะเอาเงินจากไหนมาคงสถานะความร่ำรวยต่อได้ล่ะ ดังนั้นความเป็นจริงของเหล่าคนรวยก็คือ เขาต้องกักเงินที่ได้มาส่วนหนึ่งไว้สำหรับออมอยู่เสมอ แล้วค่อยแจกแจงเงินส่วนที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือน อ้อ ! ขอกระซิบหน่อยเถอะว่า เงินส่วนที่คนรวยแบ่งไว้เก็บน่ะ มักจะมากกว่าส่วนที่เขาแบ่งไว้ใช้ด้วยนะ

7. พยายามซื้อสินค้าลดราคาและต่อรองราคาให้ถึงที่สุด
ข้อนี้คนรวยก็เหมือนกับคนทั่วไปที่รักในการซื้อของดีราคาถูก เหล่าคนรวยมักจะพยายามมองหาวิธีเพิ่มมูลค่าของเงินในกระเป๋าโดยการหาดีลที่ดีที่สุดและต่อรองราคาให้ได้ถูกที่สุด เรื่องอะไรต้องเสียเงินโดยใช่เหตุล่ะเนอะ

8. อย่าดูถูกการออม
เรามักจะละเลยเงินจำนวนน้อยๆ อยู่เสมอ แต่เงินน้อยๆ นี่แหละจะเพิ่มเป็นเงินจำนวนมากๆ ได้ถ้าคุณรู้จักวิธีทำให้เงินงอกเงย  ถ้าคุณรู้จักวิธีการใช้เงินลงทุนอย่างเหมาะสม คุณจะทึ่งกับผลลัพธ์ของมันอย่างแน่นอน

9. ทำตามสูตรของมหาเศรษฐี
 วิธีคิดของคนทั่วไปมักจะคิดว่าพวกเขาจะเก็บเงินหลังจากใช้จ่ายไปในสิ่งที่จำเป็นไปแล้ว ซึ่งต่างจากคนรวยอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเราจะขอเรียกสิ่งนี้ว่า สูตรมหาเศรษฐี โดยเมื่อคุณได้รับเงินเดือนมาครั้งแรกอย่าเพิ่งใช้ กำหนดส่วนที่จะเก็บออม จากนั้นกำหนดสัดส่วนเงินที่จะใช้ในการลงทุน จะลองเสี่ยงกับกองทุน หุ้น ทองคำ หรือจะฝากไว้เฉย ๆ  ก็แล้วแต่จะเลือก ที่เหลือหลังจากนั้นค่อยใช้
  
10. ปิดช่องทางไม่ให้เงินไหลออกโดยไม่จำเป็น
มหาเศรษฐีไม่เคยเสียเงินให้กับค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น พวกเขาระมัดระวังอย่างมากกับพวกค่าธรรมเนียมหรือการชาร์จต่าง ๆ ซึ่งถ้าเลี่ยงได้พวกเขาจะเลี่ยง  

ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะคะ รับรองได้ว่าคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณเอง ขอให้ร่ำรวยๆ ทุกคนค่ะ

ด้วยรักและห่วงใย โดยทีมงาน Investor”
  
ที่มา : www.money.kapook.com



หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

รู้ไว้ไม่เจ๊ง! 5 เคล็ดลับ เล่นหุ้น อย่างไร กำไรล้วนๆ


สุดยอดคำถามที่นักลงทุน (หรือในบางครั้งก็เหมือนนักเสี่ยงโชค) หรือขาหุ้นทั้งหลายมักจะเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือผู้เชี่ยวชาญ หรือเซียนหุ้นทั้งหลาย ว่า เล่นหุ้น อย่างไร ให้ได้กำไร?” เป็นคำถามที่ตอบได้ง่ายมาก ๆ ค่ะ
 เอาละ! ได้เวลาชินจัง เอ๊ย! จริงจังกันสักที กับเคล็ดลับสำหรับใครที่คิดจะเล่นหุ้น หรือเล่นหุ้นอยู่แล้ว แต่หากำไรยากซะเหลือเกิน 5 เคล็ดลับ ควร(ต้อง)ทำ ถ้าไม่อยากเจ๊ง ไปเริ่มกันเลย!

1.เลิกเล่นหุ้นได้แล้ว! เปลี่ยนความคิดเป็นการลงทุนแทน ข้อนี้สำคัญมาก ๆ และเป็นพื้นฐานที่ทำให้เราอยู่ในวงการนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง คือการปรับทัศนคติจาการ เล่นหุ้นเป็นการ ลงทุนสองคำนี้แตกต่างกันที่เป้าหมายค่ะ

การเล่นหุ้น มักจะหมายถึงการเล่นที่ต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น
แต่การลงทุนต้องการผลตอบแทนจาก เงินปันผล หรือมูลค่าของหุ้นในอนาคต
ดังนั้นมือใหม่ทุกคน คิดใหม่ทำใหม่ ควรเริ่มต้นลงทุนระยะยาว
อย่าคิดที่จะซื้อขายหวังกำไร เพราะสุดท้ายแล้ว เจ็บจนชิน” 

2.ต้องใช้ เงินเย็น เท่านั้น ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่นักลงทุนจะต้องพึงระวังไว้ให้มาก เงินเย็นในที่นี้ไม่ได้หมายถึงค่าเงินญี่ปุ่นแต่อย่างใด (นิดนึงก็เล่นนะ) แต่หมายถึงเงินที่เราสามารถปล่อยให้เสียไปโดยไม่เดือดร้อนนั่นเอง ฟังแล้วดูแปลก ๆ นะคะ เงินเสียไปใครจะไม่เสียดาย (เงินคนอื่นไง) แต่เรากำลังหมายถึงเงินที่ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่นเอาเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถมาเล่นหุ้น อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะคะ เล่นหุ้นได้ก็ต้องรับผิดชอบภาระตัวเองได้นะคะ

3.ถามตัวเองเดี๋ยวนี้! ว่ารู้จักหุ้นดีแค่ไหน หลาย ๆ คนคงตอบได้ทันทีว่าหุ้นคืออะไร ทำไมต้องถาม แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ การที่เราจะนำเงินที่เรามีอยู่ไปซื้อหุ้นตัวไหนสักตัว นั่นหมายความว่าเราได้เข้าไปเป็นเจ้าของกิจการนั้นด้วย 


เราควรจะต้องรู้จัก ข้อมูลพื้นฐานของหุ้นที่เราจะซื้อ ทั้งในเรื่องของแนวโน้มธุรกิจ
จุดแข็งจุดอ่อน ปัจจัยที่จะกระทบต่อการดำเนินงาน
ไม่ใช่รู้จักหุ้นตัวนั้นจาก เค้าบอกมา หรือ วงในเค้าว่าดี
อันนี้ไม่มีจริงในโลกนะคะ เงินของเรา ก็ต้องใช้การตัดสินใจของเราค่ะ

4.รู้จักหุ้นแล้ว รู้จักตัวเองหรือยัง? ถามตัวเองก่อนเลยค่ะ ว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทไหน และสามารถรับความเสี่ยงได้เท่าไหร่ ซึ่งคำตอบที่ได้ควรที่จะต้องสอดคล้องกันด้วยนะคะ ไม่ใช่ว่าอยากเป็นนักเก็งกำไรรายวัน แต่เงินไม่หนาพอที่จะรับความผันผวนได้ อันนี้ เจ๊ง ครับ

5.สุดท้ายอย่าคิดถึงกำไร! ถ้าอยากได้กำไร ข้อนี้เป็นสัจธรรมที่หลาย ๆ คนคงเข้าใจค่ะ อะไรที่อยากได้มาก ๆ มักจะไม่ค่อยได้หรอกค่ะโดยเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้วด้วย หุ้นก็เช่นกันค่ะ อย่าไปหวังกำรี้กำไรมากมาย เอาแค่สามารถรักษาต้นทุนได้ก่อน

เคล็ดลับ 5 ข้อนี้อาจจะเป็นแค่เพียงหลักการ หรือวิธีคิดเบื้องต้นเท่านั้น การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ และยิ่งการลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จแล้วนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน ความรู้และ ประสบการณ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้น จะลงทุนครั้งต่อไป ต้องคิดให้มาก ๆ นะคะ

ด้วยรักและห่วงใย โดยทีมงาน Investor”

ที่มา : www.mthai.com




หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

เคล็ด(ไม่)ลับ ความรวยในแบบฉบับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)





         หลายๆ ครั้งที่พบว่าเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือไม่ก็ตาม มีคำถามที่ง่ายมาก (แต่ตอบยากมาก) ว่าทำอย่างไรถึงจะรวย ฟังถึงตรงนี้เพื่อนๆ ก็คงจะพอเดาออกแล้วว่าทำไมจึงตอบยาก เพราะบางครั้งอาจจะต้องถึงกับทำความเข้าใจไปก่อนหน้านั้นถึงคำว่า "รวย" ก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าแต่ละคนนิยามของคำว่ารวยที่แตกต่างกัน ซ้ำร้าย! คำนิยามเรื่องความรวยของบางคนอาจจะไม่ถูกต้องสักเท่าไรนัก

             แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยค่ะ เรามาลองดูบุคคลคนหนึ่งที่นักลงทุนเกือบทุกท่านคงต้องรู้จัก นั่นก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นั่นเอง ว่าทำอย่างไรเขาถึงได้รวยนัก รวยหนา โดยเราคงจะข้ามนิยามของคำว่ารวยไปก่อนในตอนนี้ เพราะจะว่าไปแล้ว ไม่ว่าเราจะตีลังกาคิดอย่างไรก็ตาม เราก็คงเข้าใจได้ว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้น "รวยของจริง" ซึ่งเขาได้ให้คำตอบไว้น่าขบคิดและน่าพิจารณาปฏิบัติตามหลายข้อเลยทีเดียว คือ



ด้านรายได้ : อย่าอาศัยรายได้จากแหล่งเดียว จงลงทุนให้เกิดรายได้เป็นแหล่งที่สอง
ด้านการใช้จ่าย : หากท่านเอาแต่ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น อีกไม่นานท่านจะต้องขายสิ่งที่จำเป็น
ด้านการเก็บออม : อย่าเก็บออมส่วนที่เหลือจากการใช้จ่าย แต่จงใช้จ่ายส่วนที่เหลือจากการเก็บออม
ด้านการบริหารความเสี่ยง : อย่าทำอะไรโดยไม่เตรียมหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
ด้านการลงทุน : อย่าทุ่มแบบหมดหน้าตักลงไปในสิ่งเดียว  
ด้านความคาดหวัง : ความซื่อสัตย์เป็นของขวัญที่มีราคาสูง จงอย่าหวังว่าจะได้จากคนต่ำ ๆ

                วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักเกณฑ์ชุดนี้จนเป็นอภิมหาเศรษฐีอเมริกันอันดับสอง รองลงมาจากบิล เกตส์ ซึ่งได้ความรวยมาจากการทำธุรกิจซึ่งมีสินค้าเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมากในโลกนี้ ลองดูนะคะว่าเคล็ดลับไหนเป็นจุดที่เราสามารถทำตามได้บ้างค่ะ ไม่แน่นะคะ หากเราได้ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปลองใช้แล้ว เราอาจจะ รวยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เลยก็ได้ค่ะ ^^ 


              ที่มาบางส่วน : www.muegao.blogspot.com


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

ลงทุนอย่างไร ให้ได้ดี?


ลงทุนอย่างไร ให้ได้ดี?


        อยากลงทุนแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี...กลัวขาดทุนจัง...หลายคนอยากที่จะร่ำรวยแต่ยังไม่กล้าที่จะลงทุน เพราะกลัวขาดทุนหรือยังมีไม่พร้อมที่จะลงทุน เรามาสำรวจกันดีกว่าว่าเรามีความพร้อมที่ลงทุนกันมากน้อยแค่ไหน

        อย่างแรกเลย เราต้องรู้จักตัวเองก่อน รู้จักตัวเองทำไม รู้ตัวเองไปเพื่ออะไรกัน  ตอบ เพื่อให้เราได้รู้เป้าหมายที่เราต้องการที่จะมุ่งไป เพื่อจะง่ายต่อการวางแผนด้วย รู้จักตัวเองต้องทำยังไงบ้างดูตามภาพได้เลยค่ะ



      หากใครยังไม่แน่ใจว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ทางเรามีแบบทดสอบจากตลาดหลักทรัพย์มาให้ลองทำกันค่ะ  


  


ขอบคุณข้อมูลจาก www.set.or.th


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

การจัดการความไม่รู้



หลายคนที่ทำงานในองค์กรอาจจะเคยได้ยินคำว่า "การจัดการความรู้" (Knowledge Management) พอได้ยินหัวข้อนี้อาจจะตกใจว่าเป็นการพิมพ์ผิดหรือไม่ ความจริงก็คือพิมพ์ถูกแล้วล่ะ นั่นคือ "ความไม่รู้" ก็ต้องถูกจัดการอย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน

เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำในการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งการลงทุนในหุ้นเป็นการทำตามสิ่งที่เราคาดการณ์ว่าจะเป็น แต่สิ่งที่เราคาดการณ์นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ สิ่งใดที่เกิดมาแล้วในอดีตราคาของหุ้นก็จะรับข่าวรับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วทั้งหมด และราคาของหุ้นก็จะตั้งหน้าตั้งตาตอบรับต่อสิ่งที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตกับธุรกิจนั้น และอนาคตที่ว่านี้ก็คือรายได้ของธุรกิจว่าจะเพิ่มมากขึ้นเท่าใดและสุดท้ายก็คือกำไรของธุรกิจนั้นจะเป็นเท่าไหร่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร
อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่เกิดก็คือเรื่องของอนาคตและไม่มีใครรู้นี่ว่ามันจะเป็นอย่างไร ของหลายอย่างเราคิดว่าเราควบคุมได้แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดก็มีให้เห็นมากมาย การดำเนินงานของบริษัทก็เช่นเดียวกัน บางครั้งผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทเดิมยังไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าในปีข้างหน้าหรือหลายปีข้างหน้านั้นยอดขายและกำไรจะเป็นเช่นไร หรือโดยเฉพาะหุ้นเข้าใหม่ เรายังไม่เห็นฝีมือการทำงานจริงๆ ของผู้บริหาร หรือการเอาตัวรอดในวิกฤติต่างๆ ของธุรกิจนั้น เราที่เป็นนักลงทุนรายย่อยที่อยู่นอกบริษัทคือไม่ได้ทำงานในบริษัทก็คงจะรู้ดีไปกว่าคนที่ทำงานอยู่ในบริษัทไม่ได้มากนัก สรุปคือเราก็คงจะมีความไม่รู้อยู่ส่วนหนึ่งไม่มากก็น้อยนั่นเอง

และคำอมตะคำหนึ่งของการลงทุนก็คือไม่รู้คือเสี่ยง  เมื่อไหร่ที่มีความไม่รู้เกิดขึ้นก็คือมีความเสี่ยงเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองเราย่อมต้องจัดการความเสี่ยงอย่างถูกต้องตามสมควร สำหรับการลงทุนในหุ้นแล้วการจัดการความเสี่ยงคงหนีไม่พ้นข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้


1) วางแผนการซื้อ
คือจะซื้อเมื่อไหร่นั่นคือจะต้องรู้ว่าราคาที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไร ราคาที่มีการซื้อขายอยู่เป็นเท่าไร การเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรและควรตัดสินใจซื้อเมื่อใด การซื้อหุ้นเราจะต้องคำนวณถึงระดับความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่อาจะได้รับ (คำนวณ risk and return) และแน่นอนว่าจะต้องไม่นำเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นเพียงบริษัทหรือกิจการเดียว เมื่อเสียหายจะต้องไม่ทำให้การลงทุนทั้งหมดเสียหายไปด้วย 

2) วางแผนการขายตัดขาดทุนและซึ้อคืน
แน่นอนว่าการลงทุนนั้นทุกคนต้องการหวังผลกำไร แต่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาคือการขาดทุน การได้กำไรนั้นเป็นสิ่งที่ดี กำไรมากย่อมดีกว่ากำไรน้อย กำไรนิดหน่อยย่อมดีกว่าไม่ได้กำไร และแน่นอนว่าการเท่าทุนย่อมดีกว่าขาดทุน  นั่นเลยไปถึงว่าขาดทุนน้อยย่อมดีกว่าการขาดทุนมาก ดังนั้นการพยายามขาดทุนให้น้อยย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นในการลงทุนในระยะยาว ก่อนการลงทุนทุกครั้งเราก็ต้องคิดในใจก่อนเสมอว่าเราสามารถขาดทุนได้เท่าไหร่และต้องตั้งขีดจำกัดในการหยุดการขาดทุนนั้นไว้เสมอ อย่างไรก็ตามสำหรับหุ้นของธุรกิจที่เราได้พิจารณาดีแล้วการขายตัดขาดทุนนั้นไม่ได้หมายความว่าขายแล้วก็เลิกแล้วต่อกัน เพราะถ้าธุรกิจนั้นยังเป็นธุรกิจที่ดี เพียงแต่เราซื้อหุ้นผิดจังหวะ เราก็ต้องวางแผนในการซื้อหุ้นนั้นกลับคืนมาด้วย อาจจะเป็นการซื้อหลังจากที่ราคาได้ลงไปจนถึงจุดต่ำสุดและเริ่มขยับขึ้นแล้วก็ได้ หรือแม้แต่เมื่อขายแล้วราคาขยับขึ้นโดยทันทีเราก็อาจจะจำเป็นต้องซื้อคืนในราคาที่สูงกว่า (แต่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน) ก็ได้นะครับ

3) วางแผนการซื้อเพิ่ม
ไม่ว่าในกรณีที่เราซื้อหุ้นแล้วราคาได้ปรับตัวขึ้นหรือลงก็ตามเรายังมีทางเลือกในการจัดการกับมันก็คือการซื้อเพิ่ม อย่างไรก็ตามการซื้อหุ้นเพิ่มในช่วงขาลงนั้นย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าการซื้อเพิ่มในช่วงขา ดังนั้นการวางแผนในการซื้อเพิ่มที่ราคาเท่าไหร่เป็นจำนวนเท่าใดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในแผนการลงทุนในบริษัทหนึ่งๆ เสมอ

4)
วางแผนการขายทำกำไรหรือการถือเพื่อรับผลประโยชน์
ถ้าเราสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้ถูกต้อง และมีโอกาสในการลงทุนที่ดี และสามารถฉวยโอกาสนั้นไว้ได้ ก็นับว่าเป็นโชคเพราะสิ่งที่เหลือก็คือการวางแผนเพื่อขายทำกำไร หรือหากว่าธุรกิจนั้นได้ปรับตัวจนมีผลประกอบการที่ดีขึ้นทำให้มูลค่าของธุรกิจสูงมากขึ้นไปกว่าตัวเลขที่เราเคยประเมินไว้แต่ครั้งแรกเมื่อเริ่มลงทุน เราก็อาจตัดสินใจถือหุ้นของบริษัทนั้นต่อไปเพื่อให้ราคาสะท้อนผลประกอบการที่แท้จริงต่อไปในอนาคต หรือเราอาจจะถือหุ้นไว้เพื่อรับผลประโยชน์อื่น เช่น เงินปันผล หุ้นปันผล หรือสิทธิประโยชน์อื่นเช่นการจองซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญก็ได้อีก

จะเห็นได้ว่านอกจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมแล้ว ยังมีสิ่งอื่นที่เป็นสาระสำคัญในการลงมือทำจริงๆให้เราต้องศึกษาเรียนรู้และฝึกฝนจนชำนาญอีกด้วย ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาซื้อหุ้น แล้วก็มองดูราคาของมันลดลงๆ  พอทนไม่ได้ก็ขายตัดขาดทุนแบบเจ็บหนัก แล้วไม่เคยหันกลับไปมองหุ้นนั้นอีก พอหันกลับมาอีกทีราคาก็เพิ่มขึ้นไปหลายเท่าของราคาที่เราเคยซื้อครั้งแรกให้เจ็บใจเล่นจริงไหมครับ


ที่มา : www.muegao.blogspot.com



หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com





วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับผลตอบแทนของบัฟเฟตต์

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับผลตอบแทนของบัฟเฟตต์ จากผลวิจัย Buffett’s Alpha

“เบน เกรแฮม ได้สอนผมมากว่า 45 ปีที่แล้วว่า ในการลงทุนนั้น
คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำสิ่งที่พิเศษ เพื่อที่จะสร้างผลตอบที่สุดวิเศษออกมาเลย"

วอร์เรน บัฟเฟตต์






หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

Ads Inside Post