วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

ความหมายของรูปแบบแท่งเทียนแต่ละรูปแบบ


สรุปตาราง รูปแบบ แท่งเทียนต่างๆ ที่ให้ software จับให้ดูได้ โดย จัดเป็นหมู่ และบอกทิศทางเป็นบวกหรือลบ โดยปกติท่านจะต้องดู รูปร่างของกราฟก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนจะดูความเป็นไปได้ของอนาคต เราจะต้องดู Volume และทิศทางหลักของตลาดประกอบด้วยเสมอ
White Candle = แท่งโปร่ง
Black Candle = แท่งทึบ
The Candlestick patterns allow you to locate specific Japanese Candlestick patterns on your charts. When the pattern is found; a short name is plotted and the pattern is framed in a white box as layout on your chart. Candlestick patterns may give you a crue for the market trend, however it accuracy is subjective to style and interpretation of expert. The table below is list of patterns and theirs trend interpretation.

ตารางแท่งเทียน





หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย


Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com



Carlos Slim คาร์ลอส สลิม รวยที่สุดของโลก


ผู้เขียน: บุญชัย ใจเย็น
ปี: 2011
สำนักพิมพ์: ปราชญ์

เนื่องจากไม่ได้เกี่ยวกับหนังสือการลงทุนแต่อย่างใดจึงไม่ขอ ให้คะแนนรวม อย่างไรก็ดีการเรียนรู้เกี่ยวกับ ปรัชญาของผู้ที่ประสบณ์ความสำเร็จแล้วย่อมมีความลึกซึ้ง เพราะพวกเขาได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จนมามีวันนี้ สิ่งที่พวกเขาสรุปออกมาเป็นแก่นในการดำเนินชีวิตของพวกเขา ยากที่คนอื่นจะเข้าใจได้จนกระทั่ง ท่านได้ใช้แก้ปัญหาและประสบณ์กับชีวิตของตนเอง จึงเป็นที่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ รู้ง่ายทำยาก
ชีวิตของเศรษฐีคนนี้ เริ่มจากครอบครัวผู้อพยพชาวเลบานอนที่เข้ามาตั้งรกรากในแดนดินถิ่นจังโก้ เม็กชิโกได้ และให้กำเนิดบุตรชายที่มีชื่อว่า คาร์ลอส สลิม เฮลู (Carlos Slim Helu) ซึ่งเขาเติบโตขึ้นมาในฐานะลูกชายเจ้าของร้านค้าเล็กๆ โดยที่มี “จูเลียน สลิม” ผู้เป็นบิดาปลูกฝังการทำธุรกิจให้แก่เขาตั้งแต่เยาว์วัย เริ่มจากการทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินด้วยตัวเอง
ด้วยความที่บิดาของสลิมเป็นคนไม่หยุดนิ่ง และคิดทำธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ทำให้สลิมซึมซับนิสัยเฉพาะตัวนี้มาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน และแม้ว่าผู้เป็นบิดาจะจากสลิมไปตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 13 ปี แต่มรดกตกทอดด้านการคำนวณที่บิดาทิ้งไว้นี้ช่วยให้สลิม สามารถต่อยอดธุรกิจที่บุพการีตีเส้นไว้ให้ได้อย่างไม่ยากเย็น และนั่นจึงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ทำให้วันนี้ สลิม กลายเป็นเจ้าของบริษัทกว่า 200 แห่งในเม็กซิโก
สลิมสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเม็กซิโกเมื่อช่วงปี 2503 ก่อนจะผันตัวเองไปเป็นโบรกเกอร์ และเรียนรู้การลงทุนในธุรกิจหลากหลายประเภท อีกทั้งยังมีนิสัยชอบเล่นหุ้นเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้น การเริ่มต้นเดินบนเส้นทางที่สว่างไสว เพื่อก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกจึงอยู่ไม่ไกลเกินไปถึง

เศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือเลวลง แต่เงินก็ไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่มันเปลี่ยนกระเป๋าอยู่เท่านั้น

ต้นยุค 80 ละตินอเมริกาประสบปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ธุรกิจเกือบทุกอย่างในเม็กซิโกล้วนได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่สลิม มองเห็นโอกาสในวิกฤตนั้น พร้อมก้าวเข้าไปกว้านซื้อบริษัทที่ใกล้ล้มละลายมาได้ในราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า กลุ่มบริษัทการเงิน รวมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานการประปาและไฟฟ้า ก่อนที่จะชุบชีวิตบริษัทเหล่านี้ด้วยการบริหารงานตามหลักการใหม่ จนสามารถผลิดอกออกกำไร และกลายเป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์มหาศาลได้ในอีกไม่กี่ปีต่อมา
นักวิเคราะห์ในแวดวงธุรกิจกล่าวว่า ความมั่งคั่งของสลิมส่วนใหญ่มาจากมูลค่าหุ้นในบริษัทของเขาที่พร้อมใจกันทะยานขึ้นแบบยกแผง โดยเฉพาะมูลค่าหลักทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจทั้งหมดของนายสลิมคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าหลักทรัพย์โดยรวมในตลาดหุ้นเม็กซิโก ขณะที่ธุรกิจครอบครัวเขาสร้างรายได้ในสัดส่วน 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเลยทีเดียว

โอกาสมีอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่มองเห็น

สำหรับนักลงทุนที่ดีแล้วการมองให้เห็นถึงโอกาสคือประตูแห่งความสำเร็จ อย่างไรก็ดีการลงทุนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ นั้นจำเป็นต้องคัดเลือกหุ้นให้ดีนะครับ

ในหนังสือยังเล่านักลงทุนเก่งๆอีกหลายท่านน่าสนใจมาก แต่ช่วงท้ายของหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับ playboy mansion และบ้านของ เศรษฐี หลายๆคน อาจจะไม่น่าสนใจสักเท่าไร

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

Lessons from the Greatest Stock Traders of All Time


ผู้เขียน: John Boik
ปี: 2004
สำนักพิมพ์: The McGraw-Hill Companies

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นเสมือนการรวบรวม ประวัติสังเขปของ นักลงทุน ตั้งแต่ยุค 1895 จนถึง 2005 ถ้าเป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดทำไม ไม่มีชื่อของ Warren Buffett อยู่ด้วยละ? ถ้าคุณถามตรงๆผมก็คงไม่มีคำตอบเหมือนกัน ทั้งนี้ถ้าเอาชื่อของนักลงทุนต่างๆมารวมกัน จะสังเกตุได้ดีว่า นักลงทุนต่างๆนี้ เน้นการลงทุน สไตล์ ผสมระหว่าง Technical - Fundamental - Psychology ของตลาดนั่นเอง จึงเป็นการตอบคำถามของชื่อ Buffett ทางอ้อม

ถ้าท่านรู้จัดรายชื่อต่อไปนี้แล้ว คงไม่ต้องถามใครต่อว่าเป็นรายชื่อ คุณภาพหรือไม่ เพราะ พวกเค้าถูกนำมายกเป็นตัวอย่าง อยู่เสมอๆในการลงทุน และวิธีการลงทุน

เล่าถึงการลงทุนของแต่ละคน

Jesse Livermore

เจสซี่ เป็นคนแรกๆ ที่นำทฤษฎี ของการ ลากเส้นแนวรับแนวต้านต่างๆ กับราคาที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่เค้าแตกต่างกับสมัยเรา ตรงที่สมัยนั้น ยังไม่มีใคร พล็อตกราฟได้ เขาจึงทำทุกอย่างในหัว แล้วเช็คราคาจาก Ticker Tape  

Bernard Baruch 

เบอร์นาร์ด เป็นทั้งนักลงทุนและเป็นนักไฟแนนซ์ อันดับต้นๆของประเทศสหรัฐ เนื่องจากอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับ เจสซี่ เค้าถูกมองเป็นพ่อพระ เหมือน บัฟเฟตต์ กับในปัจจุบัน ซึ่งตอนตลาดพังในช่วง Great Depression เขาให้เงิน แบงค์ หลายแห่ง รวมถึง บริษัทหลายแห่งเพื่อช่วยบรรเทา ค่าจ่างพนักงานต่างๆ ในขณะที่ เจสซี่เหมือนกับ ซอรอส คือ Short ตลาด รับเงินมากมาย และถูกคนจำนวนมากตำหนิ
เรื่องของเบอร์นาร์ด ควรจะอ่าน เล่มอื่นจะได้เนื้อหากว่า เพราะเขาลงทุนแบบ องค์รวมและรอบคอบ ทั้ง fundamental และ technical

Gerald M. Loeb

"What everybody else knows is not worth knowing." เป็นแม่แบบของ psychology เทรดดิ่งค์ มีการวางกฎเกณฑ์ เพื่อไม่ให้ตัวเองตกอยู่ใน อำานาจ ของอารมณ์ 

Nicolas Darvas

นิโคลัส เป็นนักลงทุนที่ประกอบอาชีพหลักเป็น นักบัลเล่ต์ ที่มีชื่อเสียง เขาใช้ เรื่องของ Momentum ในการเทรดมากกว่าดู value ของบริษัท เค้าทำสถิติ จาก 2-3 แสนบาทเป็น 60 ล้านใน 2 ปี

William O'Neil

เป็นลงทุนจบจากหมาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด เขาเป็นนักลงทุน สไตด์ผสมที่มีความเชียวชาญมากที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน สไตด์ของเค้าได้ทั้ง chart patterns, fundamental, database, momentum พูดง่ายๆ คือเขารวบ สไตล์ของชื่อทั้งหมดข้างบนมาใช้ ครับ
หนังสือเล่มไม่ค่อยละเอียดเท่าไรนักหากท่านค้นหา หรือศึกษาอะไร เพราะตัวเล่มค่อนข้างบาง แต่ผู้เขียนก็ ทำ Case Studies ต่างๆให้ดูบ้างแต่ อาจจะเป็นแบบ เบื่องต้นไปหน่อย

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

จอร์จ ตัน เผยเทคนิคเซียนหุ้นขาใหญ่


รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ก่อนจะทำศึก นอกจากคุณจะสำรวจความพร้อมของตัวเองให้ดีแล้ว คุณจะจำเป็นต้องสนใจพฤติกรรมและกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน คุณจำเป็นต้องเรียนรู้กลเม็ดเผด็จศึกของขาใหญ่ ที่คอยวางแผนจะกินเงินคุณทุกวินาที คุณต้องคอยเงี่ยหูฟังว่ารายใหญ่เขาคิดอะไรกันอยู่ รับรองว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณจะเข้าใจหลักการของตลาดหุ้นมากขึ้น ซึ่งหวังว่าจะทำให้คุณเป็นอีกคนที่ร่ำรวยจากตลาดหุ้น
"จอร์จ ตัน" หรือ เอกยุทธ อัญชันบุตร เซียนหุ้นขาใหญ่ เปิดเผยว่า คนที่เล่นหุ้นระดับ 1,000 ล้านขึ้นไป มีไม่เกิน 30 คน ที่เล่นหุ้นระดับ 2,000 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ 4-5 คนในตลาด

"พวกนี้จะรู้จักกันเองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมาชนกันในตลาด จะรู้เลยว่าซื้อขายสไตล์นี้ใครเล่น ถ้าเห็นลักษณะการขายที่รุนแรงออกมา จะรู้ได้ว่าเขาถือ "ต้นทุนต่ำ" ได้กำไรกลับออกไปเยอะ คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรัฐบาล"

รายใหญ่จะวนเวียนกับโบรกเกอร์ 5-6 แห่ง ใครก๊วนใคร หุ้นตัวนี้ "ทุ่น" ของใครสามารถยกหูเช็คข้อมูลง่ายมากผ่านโบรกเกอร์ที่ตัวเองใช้บริการ ข่าวสารสำหรับรายใหญ่ค่อนข้าง "แม่นยำ" แต่บางครั้งก็มี "ข่าวลวง" ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

"การลากหุ้นบางครั้งจะลากครั้งละ 2-3 มือ(ตัว)พร้อมกัน พวกนี้จะมี "วอร์รูม" (ห้องปฏิบัติการ) บางกลุ่มชอบไปคุยกันในร้านอาหารว่าจะเล่นตัวไหนดี"

ชื่อย่อถูกเรียกขาน และรู้กันเองในหมู่เซียน ภาษาที่ "เซียน" ใช้กันในตลาด
เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า คนที่ตกใจรีบขายหุ้นราคาถูกออกมาเขาเรียกว่า "ขายหมู" คำว่า "ซื้อยกไม้" หมายถึงการเก็บหุ้นเพื่อไล่ราคา "ทุ่นใคร" หมายถึง "หุ้นตัวนี้ของใคร"

กฎการทำกำไรของเซียน "จังหวะ" นั้นสำคัญที่สุด เอกยุทธบอกว่า คุณต้องรู้วิธีเข้า และวิธีออก แต่ไม่ใช่รู้วิธีเข้าๆ ออกๆ คนที่เข้าเร็วออกเร็วไม่มีทางรวยหุ้น..."เชื่อผม!!!"

จังหวะตลาดสำคัญมากในการกำหนด "กำไร" ในช่วงที่ตลาดหุ้น "ขาลง" หรือ"ไซด์เวย์" รายใหญ่ที่ชอบกินคำใหญ่ๆ จะถอนตัว พวกที่เล่นจะใช้วิธี "วิ่งราว" หรือ "วิ่งเร็ว" กำไร 2-3 ช่อง (ช่วง) ราคา..."หนี"

"ช่วงที่จังหวะตลาดไม่ดี เวลาไล่หุ้นเขาจะ "ซื้อขึ้น" จะใช้วิธีกวาดทีเดียว 3-4 ช่อง ล่อพวกตามแห่ ถ้าอยู่ดีๆ ช่อง Offer หายไป 3-4 ช่อง คนจะรีบคีย์คำสั่ง Bid (ซื้อ) ตามเข้ามา จากนั้นเขาจะลากขึ้นไป "ปล่อยของ" เหลือกำไร 2-3 ช่องก็ทิ้ง รายใหญ่ที่เล่นหุ้นในลักษณะนี้เขาเรียกว่าพวก "ฟาสต์ฟู้ด" (กินเร็ว) กินคำเล็กแล้วรีบออก"
เอกยุทธ ย้ำว่านักเล่นหุ้นที่มือระดับเซียน เขาไม่มานั่งดูเทคนิคแล้วซื้อๆ ขายๆ แต่เขาจะเก็บข้อมูลหุ้นเป้าหมาย ต้องรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น

"Free Float" (จำนวนหุ้นหมุนเวียน)ในตลาด "หน้าตัก" เจ้าของหุ้น ดูว่าเจ้าของหุ้น "เซียน" แค่ไหนถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วติดต่อขอนัดคุย จากนั้นถึงมาเลือกกลยุทธ์ในการเก็บหุ้นว่าจะใช้วิธี "ทุบ" หรือจะค่อยๆ เก็บ

"ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการสร้างข่าว"

เขาเล่าว่า นักเล่นหุ้นที่พบมีหลากหลายประเภท ทั้งดูกราฟ ดูเป้าหมายราคา มีจุดตัดลากกันมั่วไปหมด แล้วก็มีอีกประเภทหนึ่งฟังข่าวลือในตลาดอย่างเดียว พวกนี้สั่งซื้อหุ้นยังไม่รู้เลยว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ประเภทนี้ในตลาดหุ้นมีเยอะ..."เจ๊งลูกเดียว"

"ประเภทเซียนตัวจริง ข่าวลือมาไม่สนใจ ส่วนผมชอบ "ขี่หุ้น" ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ประเภทไหน ผมจะให้น้ำหนักกับ "วอลุ่ม" มากกว่าสัญญาณทุกอย่าง หุ้นไม่มีวอลุ่มผมไม่เล่น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิค
รู้ว่าตัวไหนกำลังถูกเก็บก็จะเข้าก่อน เวลาออกก็จะหนีก่อน"

หุ้นที่เอกยุทธเล่นจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสขายทำกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป จังหวะที่ตลาดไม่ดีเขาจะออกจากตลาด เพราะฉะนั้น กำไรมากหรือน้อยมันบอกเป็นกฎตายตัวไม่ได้ ต้องดูแนวโน้มของหุ้น ดูแนวโน้มตลาดว่ามันขึ้นมาแล้วกี่แต้ม(จุด)

"ช่วงที่ขึ้นจาก 605 แต้มขึ้นไป 800 แต้ม ใช้เวลา 2 เดือน ตลาดกำลังบ้าเลือด ช่วงนี้ผมได้กำไรเยอะมาก ไปเก็บไว้ก่อนช่วง 600-605 จุดเทหมดหน้าตัก"

ในการลงทุนของเอกยุทธ จะซื้อครั้งละไม่เกิน 4-5 ตัวมากที่สุด หุ้นที่เขาเล่นมีกฎตายตัวว่าต้องมีสภาพคล่องสูง และมีวอลุ่มแน่น (เท่านั้น)...."เช่น PTT BANPU ผมได้กำไรมาเยอะ" ช่วงนั้นจะเข้าแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวละหลายร้อยล้านบาท

เอกยุทธ บอกว่า พวกกองทุนใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่เข้ามาเล่นหุ้นไทย มันจะวนเวียนมาเจอกันในตลาด เขาเคยเจอ "จอร์จ โซรอส" มาแล้วหลายตลาด ไปเจอกันที่ลอนดอน ตอนไปทุบค่าเงินปอนด์

"ตอนจอร์จ โซรอสทุบเงินบาทปี 2540 ผมอยู่มาเลเซีย ช่วงนั้นหายนะประเทศไทยผมอยู่ข้างนอกมองเห็นหมด
ยังโทรมาบอกเพื่อนๆ ว่าขายทรัพย์สินให้หมด เก็บเงินสดไว้เดี๋ยวจะได้ซื้อของถูก"

ถ้าคุณอยากเป็นรายใหญ่ เขาย้ำว่า กฎของรายใหญ่มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น
หนึ่ง คุณต้องมี "เงินสด" ติดกระเป๋า กับอีกข้อ “อย่าโลภ” (เด็ดขาด)

"ถ้ารู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้อง "ทิ้ง? เขาเรียกว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) และ Let Profit Run (ปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป) ช่วงที่หุ้นกำไรดีราคากำลังขึ้น ผมจะไล่ราคาตลอด สมมติว่าราคา 2 บาท กำไรเยอะแล้วล่ะ แต่ผมจะไม่ขายเลย จะเฝ้าหน้าจอตลอดว่าจะหนีหรือไม่หนี ช่วงนี้จะไม่ให้เด็กดูเลย ....ถ้ามันกลับหัวลงมาที่ 1.90 บาท..."ผมเลิก" ถ้าไปต่อที่ 2.20 ผมจะยังตามอยู่ วิธีการคือจะขยับเป้าหมายขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหักหัวลงมา 2 บาทผมถึงจะขาย แต่ถ้ามันไม่ลงไปต่อ 2.50 ถ้า ลงมา 2.30 ผมขายแต่ถ้า 2.50 ยืนได้ เป้าของผมก็ขยับไป 2.80 คือ ผมจะ Let Profit Run ตลอด ผมจะไม่ Cut เลย"

หลักในการขายหุ้น "ขาขึ้น"
เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า จะต้องปรับราคาขายอยู่ตลอด ถึง 2 บาทผมจะกำไรมากแล้ว แต่ถ้าราคายังวิ่งต่อ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด ใครจะมาด่าว่าโง่ก็ไม่สน เพราะไม่รู้จะขายทำไม เพื่อให้ Let Profit มัน Run ไปตลอด

"แต่เมื่อใดที่มันเริ่มหันหัวกลับ...ผมเลิก ทุกราคาผมขายหมดจะไม่รอ และไม่เสียดายเงิน 5 สตางค์ 10 สตางค์ ทุกช่องที่มีอยู่จะโยน (ขาย) ทิ้งหมดเลย สมมติว่าถ้าราคา 2 บาทลงมา 1.80 ทุกราคาที่มี 1.80 บาทผมทิ้งหมด
แต่ถ้าขึ้นต่อ 1.80 ผมไม่ขายแล้ว รายใหญ่เขาเล่นกันอย่างนี้"

เอกยุทธให้นิยามของ “ความโลภ”
ในมุมมองของเขาว่า คนที่โลภคือคนที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ประเมินภาวะตลาด เห็นคนอื่นได้ก็อยากได้ด้วย คุณอย่าคิดว่าหุ้นมันขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันขึ้นเพราะ "ดีมานด์" มันขึ้นเพราะ "ความเชื่อ" 2 ปัจจัยนี้เท่านั้น

"ผมยกตัวอย่างเวลาคุณผ่านสี่แยกราชประสงค์ คุณยกมือไหว้พระพรหม เพราะคุณเชื่อถือ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณผ่านประตูน้ำคุณเห็นตึกใบหยก ถ้าคุณยกมือไหว้ ที่นั่นก็ "ศักดิ์สิทธิ์" เหมือนกับการเล่นหุ้น คุณซื้อเพราะคุณเชื่อ!

....ผมจะบอกว่าคุณเชื่อได้ แต่อย่างมงาย
ผมเชื่อว่ามันจะขึ้นผมก็ไม่งมงายว่ามันจะขึ้นไปจนสุดยอด เพราะไม่มีอะไรขึ้นไปสุดยอดแล้วไม่มีลง ไม่มีใครขายหุ้นได้ในราคาสูงสุด ผมเองเล่นหุ้นมาเป็นสิบๆ ปี เคยขายหุ้นจุดสุดยอดไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันต้องฟลุ้คจริงๆ

....เพราะฉะนั้นบางคนกำไร 10-20 สตางค์ก็ขายแล้ว คือ "Cut Profit" (ตัดกำไร) แต่หุ้นตกลงมา 50 สตางค์ Let Loss Run(ปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ยอมขาย ลงมาอีกก็ไม่ยอมขาย หวังว่ามันจะกลับไปที่เก่า เล่นอย่างงี้เจ๊งแน่ๆ"

เขากล่าวว่า ระดับมืออาชีพจริงๆ เขาจะไม่มีกฎอะไรตายตัว เช่น หุ้นลงมา 50% แล้วต้องซื้อหรือขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์แล้วต้องขาย...."ผมว่ามันเพ้อเจ้อ" หรือพวกที่ชอบซื้อหุ้น "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" เขาก็จะไม่ทำ พวกนี้จะตายช้าๆ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เล่นหุ้นขาลงซื้อถัวเฉลี่ยไม่ได้...ต้อง Cut Loss ทิ้งอย่างเดียว

เอกยุทธเล่าว่า วิธีการของรายใหญ่บางกลุ่มซึ่งเขาถือว่า "สกปรก" ที่สุด คือ จับบริษัท "เน่า" แต่งตัวแล้วนำมาซื้อขายในตลาด หุ้นเน่าจะมาจาก 2 แหล่ง จากหมวด Rehabco (ฟื้นฟูกิจการ) และผ่านเข้ามาทาง "ไอพีโอ" (หุ้นจอง)

ขบวนการจะเริ่มจากซื้อบริษัทที่ "เจ๊ง" ไปแล้วอาจจะอยู่ในตลาด หรือไม่ได้อยู่ในตลาด แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่หน่อยระดับหลายๆ ร้อยล้านบาทขึ้นไป เล็กๆ จะทำไม่คุ้ม ระดับที่เขาสนใจจริงๆ คือระดับ 2,000-3,000 ล้าน มันเห็นน้ำเห็นเนื้อ

"ผมอยากจะเปรียบเหมือนกับเอาของเน่าๆ มาต้มให้ร้อน กินดูก็รู้ว่าเน่า หุ้นพวกนี้ราคาจะพุ่งแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานมันก็จะตกลงมาอย่างหนัก กราฟเหมือนยอดภูเขา"

ส่วนหุ้น "ไอพีโอ" วิธีการที่จะได้เงินตอนเข้าตลาดจะกำหนดค่าพี/อี เรโช สูงๆ บางบริษัทพื้นฐานไม่ดี แต่ขายพี/อี 12-13 เท่า บางตัวขาย 15 เท่า "ในความเห็นผมที่มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ บริษัทใหม่เขาจะให้พี/อีไม่เกิน 8 เท่า ตลาดจะต้องเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทเป็นผู้กำหนด หรือให้โบรกเกอร์เป็นคนกำหนด ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง

ก่อนเอาหุ้นเข้าตลาดต้องประมาณการ Cashflow และคาดการณ์กำไรปีถัดไป พอเข้าตลาดได้เงินแล้วประกาศตัวเลขขาดทุน จริงๆ แล้วเขาต้องมี Profit การันตี 3 ปี โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนรับประกัน"

ที่ไม่ถูกต้องอีกข้อทางการต้องห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ ผู้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ (เทรดหุ้น)เพราะคุณรู้ข้อมูลภายใน ในต่างประเทศเขาไม่ให้เรื่องนี้ เพราะเป็นการชี้นำราคา

Thanks Dang Lee [Indicator Trader facebook page] และบทความต้นทางของ Nation Group

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

Dhandho Investor - นักลงทุนดันโด



ผู้เขียน: Mohnish Pabrai
ผู้แปล ผู้เรียบเรียง: พรชัย รํตนนทชัยสุข
ปี: 2008
สำนักพิมพ์: วิสดอมเวิร์ค เพรส

The Dhandho Investor

หนังสือเล่มเขียนโดย นักลงทุน นักบริหารกองทุน ท่านหนึ่งที่เป็นสาวกตัวจริง ของวอร์เรน บัฟเฟ็ต
โมห์นิช มีเชื้อสายจากของคนจากอินเดีย และมีกระแสเลือดของการ ลงทุนในสไตล์ของคนอินเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจเป็นอย่างมาก
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ เรื่องราวเกี่ยวกับการก่อร่างสร้างตัวของคนอินเดียในสหรัฐ โดยเฉพาะ ชาวพาเทล ที่เริ่มตั้งตัวด้วยการซื้อโมเทลเล็กๆ จนปัจจุบันในหนังสือเครมว่าคนอินเดียเป็นเจ้าของในกิจการโรงแรมของสหรัฐ ถึง 80% ของประเทศทีเดียว ซึงพวกเราหลายคนคงไม่รู้มาก่อน สำหรับท่านที่เป็นเจ้าของในกิจการโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมขนาดย่อมๆ เล่มนี้จะพลาดไม่ได้เลย เพราะเขาเล่าถึงคู่แข่งในสนามนี้โดยแท้
ตอนกลางของเล่มจะเล่าถึงประวัติการทำงานของเขา หรือ เล่าการลงทุนของผู้ที่ประสบความสำเร็จ โดย จะเน้น เป็นข้อๆ เก้าข้อ โดยจะเน้นถึงการหาโอกาสการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาส Turn Around สู่มูลค่าที่แท้จริง มีมูลค่าหุ้นต่ำกว่าราคาสินทรัพย์ มีรายได้ไม่ซับซ้อนในการคำนวณ มีต้นทุนที่ ตายตัว ถูกทอดทิ้งเพราะปัญหาชั่วคราว
โดยใช้คำขวัญว่า
ออกหัว ผมได้เงิน ออกก้อย ผมเสียเงินนิดหน่อย 
เนื้อหาโดยรวมดีตลอดเล่ม ไม่ต้องเสียดายเงินแน่นอน หากจะมีเก็บไว้อ่าน
โมห์นิช เจอกับปัญหา ปวดหัวที่นักลงทุน ทุกคนต้องเจอก็คือ การถือ Loss ซึ่งหากท่านจะเป็นนัลงทุนตัวจริงไปได้แล้วละก็ การบริหารความเสี่ยงคือสิ่งที่ท่านจะขาดไม่ได้เลย
ผมชอบการเปรียบที่เขาใช้เมื่อท่านเจอกับภาวะติดหุ้น โดยเขามองว่ามันเหมือนกับการเข้าไปอยู่ใน ใจกลางของพายุ หรือ ที่เขาเรียกในหนังสือว่า กระบวนทัพ จักรพยุหะ คือคนส่วนใหญ่จะเข้าไปใจกลางนั้นก็ยาก แต่ตอนออกนั้นยิ่งยากกว่า

ก่อนจะเข้าไปทำศึกต้องคิดให้ดี ตอนออกก็เช่นกัน 
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมสังเกตุ โมห์นิช ไม่ได้ถือหุ้นยาวเท่า หรือ วิเคราห์หุ้น เจาะลึก โดยเฉพาะเรื่องทีมบริหาร เท่ากับที่ วอร์เร็น ให้ความสำคัญ เขาจะเน้น ถึง การลงทุนตาม สถานะการณ์ หรือ หาโอกาสในวิกฤต 
เล่มนี้ชัวร์ แน่นอน

Tel :: 02 166 3159 -61 # 103-106 
Line ID :; investor.co.th

การใช้ MOB หาแนวรับ แนวต้าน เพื่อเฝ้าระวัง


Make or Break (MOB)


MOB เป็นการคำนวณจากโมเมนตัม อัตตราเร่ง และ อัตตราส่วนของขนาดของคลื่นสามลูก โดยจะคำนวณจากขาขึ้นและขาลง แล้วทำนายตำแหน่งขาขึ้นปัจจุบัน ส่วนในทิศทางตรงข้ามก็จะคล้ายๆกัน คือ คำนวณจากขาลงและขาขึ้น แล้วทำนายตำแหน่งขาลงปัจจุบัน โดยที่เป้าหมายขาสุดท้ายจะมีตำแหน่ง สูงกว่าหรือต่ำกว่าของยอด หรือปลายของขาแรก
อาทิเช่น ภาพข้างล่างนี้แสดงถึง โมเมนตัม 1 -> โมเมนตัม 2 = เป้าหมายของโมเมนตัม 3

รูปภาพด้านล่างนี้คือภาพกราฟของ TMB.BK ในรูปแบบรายเวลา  60 นาที (ซึ่งในตอนนี้ขอไม่กล่าวถึง Elliott Wave ย่อย แต่จะขอกล่าวในลักษณะเป็น Elliott Wave หนึ่ง cycle คือ ครบทั้งขาขึ้นและขาลง)


  • เมื่อคุณกดเครื่องมือ MOB ที่ยอด A คุณจะได้ Wave 3-5 ขาลง (ดูเลขกำกับสีน้ำเงิน)

  • เมื่อคุณกดเครื่อง MOB ที่ยอด B คุณจะได้ Wave 3-5 ขาขึ้น (ดูเลขกำกับสีเขียว)

  
จากภาพกราฟ จะขอแนะนำเทคนิคการดูหุ้นเบื้องต้นจากการสวิงของเส้น Wave A-B-C

  • ถ้า Wave C หยุดสั้นกว่า Wave A ให้คุณมองว่าน่าจะเป็น Wave ขาขึ้น (ให้ระวัง ! ถ้าคุณ short อยู่ โดยเฉพาะถ้าราคาสูงกว่า wave B)

  • ถ้า Wave C หยุดเท่ากับ Wave A ให้คุณมองว่าเป็น Wave sideway (ถ้าต้องการเล่นแบบฟันปลา สามารถเล่นได้)

  • ถ้า Wave C ไปหยุดถึงเส้น MOB ให้คุณมองว่าเป็น Elliott Wave ที่สมบูรณ์ (คาดว่าจะมีการกลับตัว น่าจะให้ผลกำไรที่ดีในทิศตรงข้าม และมีโอกาสไปถึง Wave D)

  • ถ้า Wave C หยุดเลยเส้น MOB ให้คุณมองว่า Wave A มีโอกาสที่จะเป็น Wave ย่อยของลูกที่ใหญ่กว่าของทิศทางของ Wave A



NOTE :

  • เนื่องจากเครื่องมือ MOB คำนวณจากการจบ Elliott Wave 3-5 ดังนั้น ถ้าหากราคาหุ้นไม่ทะลุแนว MOB จะเป็นแนวต้านที่ดี แต่ถ้าหากทะลุเกินแนว MOB จะเป็นแนวรับที่ดี

  • การซื้อหุ้นในขณะในช่วงเวลาที่ใกล้กับเส้น MOB หากมีการใช้ได้อย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงให้คุณได้มาก


การใช้เครื่องมือ MOB กับ Elliot Wave 5-3 แบบปกติ

จากที่ได้อธิบายมาก่อนหน้านี้ จะทราบได้ว่าลูกคลื่นที่สมดุลนั้น จะมีลักษณะ Wave 5-3
  • หากท่านกดเครื่องมือ MOB ที่ Wave 4 คลื่นขาขึ้นของ ADVANC.BK ในรูปบบรายเวลาสัปดาห์ จะแสดงได้ดังรูปข้างล่าง

  • หากท่านกดเครื่องมือ MOB ที่ Wave A จะแสดงให้เห็นเป็นรูปในลักษณะแนวรับของคลื่นที่ 3 ย่อย (ซึ่งในภาพข้างล่างนี้ไม่ได้ใช้เครื่องมือ MOB กดแสดงให้ชม)


การใช้เครื่องมือ MOB กับ Elliot Wave 5-3 แบบฟันปลา ที่มีลักษณะตกแรง

หากใช้กดเครื่องมือ MOB หาแนวต้านและแนวรับ ทำให้นักลงทุนสามารถหาแนวทางในการลงทุนขณะเกิด Wave แบบฟันปลาขาขึ้นได้ ดังภาพด้านล่าง


การใช้เครื่องมือ MOB กับ Elliot Wave 5-3 แบบตกแรง

จากภาพด้านล่างนี้ จะแสดงลักษณะลูกคลื่น A-B-C ที่ตก แรงมากในช่วง 1920’s ของ Dow Jones (^DJI) ซึ่งรับราคาด้วย MOB ของ Wave 2 Chart แบบนี้มักจะทำให้ลักษณะของ Wave 4 อยู่ต่ำ



หากมาดูที่ Chart ของ CROX.US หุ้นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรองเท้า (ภาพด้านล่าง) ก็มีลักษณะเดียวกัน ซึ่งมีกำลังรับที่ Wave 2 หากใช้เครื่องมือ MOB ที่ Wave 4 จะแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถรับได้


มาดูที่ Chart ของธนาคารทหารไทย TBM.BK ก็ไม่แพ้กันเลย รูปนี้เป็น Wave 5 แบบสมดุล แต่ลักษณะของ Wave C ยาวมาก ทำให้เกิดการรับที่ wave 2



Note: 

ลักษณะโดยทั่วไป Wave A-B มักจะเกิดเหนือยอดของ Wave 3

แต่ถ้าเป็น Wave 5-3 แบบฟันปลา Wave A-B มักจะเกิด ต่ำกว่า Wave 4

การใช้เครื่องมือ MOB กับ Elliot Wave 3-5 แบบปกติ

ถ้าท่านกดเครื่องมือ MOB ที่ Wave A(0) คลื่นขาลงของ SET.BK จะได้ดังกราฟดังรูป


ถ้าท่านกดเครื่องมือ MOB ที่ Wave B ของคลื่นขาลงกราฟ SET.BK จะได้ดังรูปด้านล่าง ท่านจะเห็นได้ว่า MOB ทำการคำนวณแสดงบริเวณแนวรับของ Wave ย่อย เทียบในสถานการณ์จริง (ข้อสังเกตุคือมี wave เล็กๆ ย่อย 3 wave) ซึ่งแนวรับไม่สามารถรับได้ แล้วต่อมากราฟจะกลายเป็นแนวต้านด้วย



กราฟ TPI Polene TPIPL.BK ดังรูปด้านล่างนี้ หากนำมาตีความจะได้ความหลากหลาย จึงขอยกมาเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นการใช้งานอย่างพลิกแพลงในการดูสถานะปัจจุบัน



การใช้เครื่องมือ MOB กับ Elliot Wave 3-3 หรือ Elliot Wave 5-5


กราฟ Bliss.bk รูปนี้จะสามารถมองเป็น Elliot Wave 3-3 หรือ Elliot Wave 5-5 ก็ได้ เนื่องจากมีแรงขึ้นลง เท่ากัน ในที่่่นี้ขอไม่กดเครื่องมือ MOB ให้ดูก่อน แต่จะขออธิบายว่า

  1. ขณะที่ Wave เป็นลักษณะขาขึ้นจะทะลุ MOB1 ของ wave 3 จึงทำให้มองว่าเป็น Wave ใหญ่

  2. ที่ยอดของ Wave 3 ราคาได้ดีดตัวไปกว่า 100% จึงขอแนะนำให้ขายก่อน แต่หากท่านมีความเสี่ยงน้อย ท่านก็อาจจะถือไประยะหนึ่งก่อนก็ได้ เพราะสำหรับนักเทรดเก่าๆ อาจจะเล็งเห็นว่า การดีดตัว 100% โดยที่ไม่มีการพักตัวจะมีโอกาสเกิด Wave 5 ได้ดี

  3. การเข้าเพิ่ม ควรรอให้มีการสวนทางของราคาจะเป็นการดี ในรูปแบบของ MOB เป็นซึ่งแนวรับที่ดี โดยที่ MOB2 เป็นจุดขายที่ดีอีกครั้ง ซึ่งขณะที่หุ้นที่ขึ้น 150% ในเวลาสั้นๆ ท่านอาจทำการ short ได้ ณ จุด short ที่ดีคือ บริเวณเหนือ MOB2

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม Investor ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย
Tel :: 02 166 3159 -61 # 103-106 
Line ID :; investor.co.th






การใช้ RMO + SwingTrade + Market Trend

เป็นเครื่องมือ Expert Advisor ใน MetaStock Version 10 ขึ้นไป

RMO (Rahul Mohindar Oscillator) เป็นเครื่องมือที่ถูกพัฒนามากจากชาวอินเดียชื่อว่า 
Mr. Rahul Mohindar ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ถูกประยุกต์ใช้กับอนุพันธ์ ที่มีลักษณะการเทรดสัญญาล่วงหน้า โดยมีทั้ง Long - Short Signal ใช้งานควบคู่กับ Exit Swing Signal Indicator เพื่อกำหนดจุด Stop Loss และยังมีเครื่องมือในการระบายแถบกราฟราคา แถบสี Trend บ่งบอกถึงแนวโน้มในขณะนั้น ๆ อีกด้วย

วิธีการใช้งานเบื้องต้น

1. สัญญาณของการซื้อแบบ Long Signal คือลูกศร สีน้ำเงิน และ Short Signal คือลูกศร สีแดง
2. เมื่อเข้าซื้อตามลูกศรแล้ว ผู้ใช้สามารถติดตามแนวโน้ม Trend ได้จากแถบสี RMO bulish/bearish และการระบายสีกราฟราคา โดย
สีน้ำเงิน หมายถึง แนวโน้มของการเป็นขาขึ้นที่ชัดเจน - สีแดง หมายถึงแนวโน้มของการเป็นขาลงที่ชัดเจน
3. ผู้ใช้สามารถทำการ Stop Loss เพื่อบริหารความเสี่ยง และการสะสมกำไรได้ จาก Exit Swing Signal Indicator


วิธีการใช้งานเครื่องมือ RMO + Exit Swing Signal

1. การ Long หุ้น

    1.1 เข้าซื้อเมื่อเกิดจุด ลูกศรสีน้ำเงิน ดังรูป 1.1
รูป 1.1 ใช้ RMO กับ S50#F.BK/Daily
    
1.2 บริหารความเสี่ยงโดยการตั้งจุด Stop Loss จากเครื่องมือ Exit Swing Signal โดยสังเกตุจากเส้นสัญญาณ หากมีการย้อนกลับจากด้านบนลงมาตัดเส้นสีแดง ภายหลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว ให้ตั้งเป็นจุด Stop Loss โดยอาศัยฐานราคาหรือยอดราคาเก่าเป็นแนว ดังรูป 1.2

รูป 1.2 การใช้ Exit Swing Signal เพื่อดูตำแหน่งการ Stop Loss
    
1.3 ตรวจสอบแนวโน้มของ Bullish Trend หรือ ขาขึ้นนั่นเอง ท่านสามารถ ดูเครื่องมือการระบายสีของกราฟราคาที่เป็นสีน้ำเงินได้ และดูกับเครื่องมือแถบ RMO Bullish สีเขียวด้านล่างของรูป 1.3
รูป 1.3 การใช้ Trend Bar จากสูตร RMO เพื่อสังเกตแนวโน้มหลัก


2. การ Short หุ้น
    2.1 เข้าซื้อเมื่อเกิดจุด ลูกศรสีแดง จากรูป 2.1



รูป 2.1 การใช้ สัญญาณ Short หุ้น




         2.2 บริหารความเสี่ยงโดยการตั้งจุด Stop Loss จากเครื่องมือ Exit Swing Signal โดยสังเกตุจากเส้นสัญญาณ หากมีการย้อนกลับจากด้านล่างขึ้นมาตัดเส้นสีน้ำเงิน ภายหลังจากที่Short หุ้นแล้ว ให้ตั้งเป็นจุด Stop Loss โดยอาศัยฐานราคาหรือยอดราคาเก่าเป็นแนว ดังรูป 2.2



รูป 2.2 การใช้ Exit Swing Signal เพื่อดูตำแหน่งการ Stop Loss




              2.3 ตรวจสอบแนวโน้มของ Bearish Trend หรือ ขาลงนั่นเอง ท่านสามารถ ดูเครื่องมือการระบายสีของกราฟราคาที่เป็นสีแดงได้ และดูกับเครื่องมือแถบ RMO Bearish สีแดงด้านล่างของรูป 2.3

รูป 2.3 การใช้ Trend Bar จากสูตร RMO เพื่อสังเกตแนวโน้มหลัก

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม Investor ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย
Tel :: 02 166 3159 -61 # 103-106 
Line ID :; investor.co.th


Encyclopedia of Chart Patterns


ผู้เขียน: Thomas N. Bulkowski (Author)
ปี: 2000
สำนักพิมพ์: John Wiley & Sons, Inc.; 2 edition (January 21, 2000)


หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญกับนักลงทุกที่ดู chart patterns เป็นอย่างมาก ท่านหนึ่ง ที่ชมหนังสือเล่มนี้คือ Dan Zanger ผู้สร้างสถิติโลกโดยดูจังหวะการซื้อขายด้วยการอ่านราคาหุ้นจากกราฟ ผู้เขียนเองก็ไม่ใช่ย่อย เขาประสบณ์ความสำเร็จอย่างมากจากการอ่านกราฟ และรีทายจากงานประจำเมื่อยังอายุน้อย
หนังสือเล่มนี้มีสองชุด Classic และ Encyclopedia ปัจจุบัน มีหนังสือ Clone ออกมาในภาษาไทยจัดทำเป็นเล่มภาคต่อ แต่รายละเอียดคงจะเทียบกันได้ยากเพราะตัวจริงมันน่ามีกว่า 2 พันหน้าเห็นจะได้

สนใจหนังสือสามารถเข้าไปได้ตามนี้
Tel :: 02 166 3159 -61 # 103-106 
Line ID :; investor.co.th

รีวิวหนังสือน่าอ่าน How to Make Money in Stocks: A Winning System in Good Times and Bad


ผู้เขียน: William O'Neil
ปี: 2009
สำนักพิมพ์: McGraw-Hill; 4 edition (May 18, 2009)

William O'Neil ถูกยกย่องให้เป็น เจ้าแห่งนักรีเสริชของวอลสตรีท ไม่มีนักลงทุนในสหรัฐที่ไม่รู้จักเขา หนังสือหลักของเขาถูกขายกว่า 2 ล้านฉบับ หนังสือเล่มนี้แตกต่างจากหนังสือ การลงทุนทั่วๆไปเพราะมันรวบรวมไว้เพื่อนักลงทุนรายย่อยเป็นหลัก
โอนิล สามารถรวบรวมกำไรจากการเล่นหุ้นและซื้อ License จาก NYSE ด้วยตัวของเขาเอง ก่อตั้งโบรกเกอร์โดยเริ่มจากมือเปล่า ต่อมาก็ก่อตั้งทำหนังสือพิมพ์สำหรับนักลงทุนทั่วไป มีผู้อ่านนับเป็นอันดับ สองรองจาก วอลสตรีท เจอร์นัล
CANSLIM
วิธีการเทรดของโอนิลจะเน้น ทั้ง Fundamental และ Technical รีเสริชโดยทำดาต้าเบสขนาดใหญ่ สิ่งที่เขาดู คือ Earning, Annual Earning, Momentum New price high, New product, Supply vs Demand, Sales, Margin, ROE, Leader Group, Institution Buyers, and Market timing.
วิธีการลงทุนแบบนี้สามารถต่อยอดได้ดี ควรอ่านอย่างยิ่ง

Tel :: 02 166 3159 -61 # 103-106 
Line ID :; investor.co.th

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

รีวิวหนังสือน่าอ่าน Warren Buffett Speaks


ผู้เขียน: Janet Lowe
ปี: 1997
สำนักพิมพ์: Wiley

          หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีหรือแนะนำหลักการลงทุนแต่ประการใด แต่อย่างไรก็ดีมันก็คุ้มค่าและก็มีสเน่ห์ในรูปแบบของมันเอง ผู้เขียนได้รับความสำเร็จอย่างมากจากการเขียนเล่มก่อน ในชื่อ Bill Gates Speaks ที่จริงผมเองก็เป็นแฟนของเล่มที่ว่านี้ก่อนอยู่แล้ว จึงได้ติดตามผลงานของเล่มนี้ ถ้อยคำที่ใช้ก็สละสรวยทีเดียว การแบ่งหมวดหมู่ก็ทำได้ดี เล่มนี้มีกว่า 200 หน้าแต่คุณก็น่าจะอ่านได้จบในเพียงวันเดียว เมื่ออ่านจบแล้วก็ขอให้ทิ้งไว้ในรถหรือมุมหนังสือของคุณเพื่อที่จะพลิกมาอ่านได้เรื่อยๆ เพราะมันเต็มไปด้วยปรัชญา คำคม การใช้ชีวิต และ การมองโลกแบบนักลงทุน การคิดแบบผู้มีชัยชนะทางการเงิน


Tel :: 02 166 3159 -61 # 103-106 
Line ID :; investor.co.th



Ads Inside Post