แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Technical Analysis แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Technical Analysis แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ค่า PTI และ Wave 4 channel การอ่านเบื่องต้น


PTI (Profit Taking Index) - การดู Type 1 Buy setup.  The PTI จะใช้ดูระดับการซื้อขายของ Wave 3 ไป Wave 4 ซึ่งจะถูกคำนวณเป็นตัวเลข PTI ถ้ามีค่ามากกว่า 35 จะหมายถึงการมีโอกาสสูงที่จะเกิด wave 5 ถ้าน้อยก็กว่า 35 ก็มี %ต่ำที่จะมีการกลับตัว ในกรณีที่มันเกิดก็มีโอกาสเป็น Double Top สูง
Wave 4 Channels - จะเป็นแถบ น้ำเงินเขียวแดง ที่ช่วยบอกสถานะอนาคตว่าหุ้นจะไปไกลแค่ไหนเร็วแค่ไหน
1. ถ้า Elliott wave 4 (in blue) กลับตัวก่อนหรือกลับบนเส้นนี้ statistical มากกว่า 80% จะเป็น wave 5 แบบมีแรงมากและจะไปไกลกว่ายอด wave 3 และเร็ว
2. ถ้า Elliott wave 4 (in green) กลับตับก่อนสีเขียว สถิติจะลดลงเหลือ 60% ที่จะเป็น Wave 5 ที่แรงและเร็ว และสูงกว่า Wave 3
3. สำหรับสีแดง (in red) ถ้าทะลุไปได้โอกาสกลับตัวจะน้อย แล้วจะช้า และอาจไปไม่เกินยอด


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เครื่องมือ MOB กับเทคนิคการลงทุน-แนวรับ-แนวต้าน



เครื่องมือ MOB กับเทคนิคการลงทุน-แนวรับ-แนวต้าน


เส้น MOB เป็นเส้นสมมติที่โปรแกรม วิเคระห์เป็นแนวรับ-แนวต้าน มีประโยชน์อย่างไรลองมาดูกันครับ
วิธีใช้ MOB ท่านสามารถใช้ได้โดยเลือกจุดที่เป็นจุดกลับตัวหลัก ๆ สามารถดูได้ทุก ๆ การกลับตัวของราคาหุ้น
เครื่องมือในการช่วยหาจุดกลับตัวหลัก ๆ คือ Pivot โดยสัญลักษณ์ ตัว P = Primary Base,
J = Major Base, i = Intermediate และ M = Minor Base



รูปต่อไปคือไอคอนของเครื่องมือ MOB และเส้น MOB
โครงสร้างของ MOB
ราคาเป้าหมายสูงคือ สีชมพู และราคาเป้าต่ำคือ สีฟ้า






รูปนี้คือ ราคาหุ้นของ PTTCH.BK วันที่30/01/2009
ที่ทางเจ้าหน้าที่ได้นำแสดงเป็นตัวอย่าง เมื่อเราใช้เครื่องมือ Pivot แล้ว จะเห็นสัญลักษณ์ ตัวอักษร M J P และ i
จากนั้นทำการใช้เครื่องมือ MOB ตามสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามต้องการเพื่อดูแนวรับของราคา

สิ่งสำคัญคือราคาของหุ้นต้องมีการกลับตัวลงมา และจะต้องดูแนวรับที่ใกล้ที่สุดก่อน ถึงจะดูแนวรับต่อไป
ในภาพนี้เส้น MOB ที่ใกล้ที่สุด คือมาจากจุด J
                           


รูปต่อไปนี้ สังเกตได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป เกิด minor base ย่อยขึ้นมาคือตัวอักษร M เพราะฉะนั้นเราต้องดูเส้น MOB ที่ใกล้ที่สุด จึงต้องจับเส้น MOB จากจุดนี้ก่อน ดังภาพ



เมื่อเวลาผ่านไปเส้นแนวรับ MOB ของจุด M รับราคาไม่อยู่ราคาของหุ้นทิ้งตัวผ่านแนวรับมาได้ ดังนั้นแนวรับต่อไปที่ต้องเฝ้าระวังคือ แนวรับจากจุด J เดิม ดังภาพ





จากนั้นเวลาผ่านไปอีกเส้น MOB แนวรับจากจุด J ก็ไม่สามารถรับราคาของหุ้นได้ ทำให้ราคาหุ้นทิ้งตัวผ่านเส้นแนวรับจุด J มาได้ ดังนั้นเส้นแนวรับถัดไปที่เราต้องเฝ้าระวังคือเส้นแนวรับจากจุด P จะสังเกตได้ว่า เส้นแนวรับจากจุด P สามารถรับราคาได้อยู่ และมีแนวโน้มที่จะกลับตัวได้ จึงทำให้เส้นแนวรับจากจุด P นี้เป็นเส้นแนวรับที่ดี



สรุปเนื้อหา
- ถ้าราคาหุ้นขึ้นมาไม่ทะลุ แนวเส้น MOB แนวเส้นนั้นจะเป็นแนวต้านที่ดี แต่ถ้าราคาหุ้นสามารถทะลุแนวต้านนั้นไปได้เส้น MOB นั้นก็จะกลายเป็นแนวรับที่ดีเช่นกัน 
- การซื้อหุ้นใกล้กับ MOB ถ้าใช้ดี ๆ คุณจะได้ความเสี่ยงที่ลดลงมาก
เทคนิคนี้คงเป็นประโยชน์กับท่านนักลงทุนบ้างไม่มากก็น้อย เพื่อลดความเสี่ยงของท่านเอง ขอบพระคุณครับที่ติดตามจนจบ - นายหนอน


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com







Parabolic SAR


Parabolic SAR



ใช้ Parabolic SAR ตรวจสอบการเปลี่ยนเทรนด์
Parabolic SAR มีหน้าที่บอกการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ ถ้าหากเส้น Parabolic SAR อยู่ใต้ราคาหุ้น แล้วราคาหุ้นไปแตะที่ตัวเส้น Parabolic SAR  แล้วในวันถัดมาเกิดเส้น Parabolic SAR อยู่ด้านบน ก็แสดงว่าหุ้นจะอยู่ในเทรนขาลง ในทางตรงกันข้ามถ้าเส้น Parabolic SAR อยู่เหนือราคาหุ้น แล้วราคาหุ้นไปแตะที่ตัวเส้น Parabolic SAR แล้วในวันถัดมาเกิดเส้น Parabolic SAR ด้านล่างหุ้น ก็แสดงว่าจะอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

โบลินเจอร์ แบนด์ BOLLINGER BANDS



โบลินเจอร์ แบนด์ BOLLINGER BANDS




BOLLINGER BANDS เป็นกรอบการซื้อขายที่มีระยะห่างจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งเท่ากับ 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (STANDARD DEVIATION) แล้วเขียนเส้นคู่ไปกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งด้านบน และด้านล่าง เมื่อมีการเคลื่อนที่ของหุ้นอย่างรุนแรง ช่องการซื้อขายจะขยายตัวห่างออกจากกัน แต่ถ้ามีการเคลื่อนไหวของราคาน้อย ช่องการซื้อขายจะบีบตัวแคบลง

BOLLINGER BANDS จะประกอบไปด้วยเส้นสามเส้น เมื่อเป็น trend ลง ราคาหุ้นจะเกาะขอบล่างลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อราคาเริ่มแกว่งตัวขึ้น ทะลุเส้นกลางขึ้นมายืนได้เต็มแท่ง นั่นหมายถึงจุดเข้าซื้อ (จุด A)




เมื่อเป็นขาขึ้นราคาก็จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบเส้นบนกับเส้นกลาง โดยจะไม่หลุดเส้นกลางลงมา แต่ถ้าหลุดลงมาเต็มแท่งนั่นหมายถึงสัญญาณขาย (จุด B)


การใช้งาน
- ซื้อเมื่อราคาทะลุเส้นกลางขึ้นมา และขายเมื่อราคาตกลงต่ำกว่าเส้นกลางลงไป
- เมื่อเป็นขาขึ้นราคาจะเกาะขอบ BB Top ไปเรื่อยๆ โดยไม่ตกลงมาต่ำกว่า BB Avg (BB average เส้นกลาง)
- เมื่อเป็นขาลงราคาจะเกาะของล่าง BB Btm ไปเรื่อยๆ โดยไม่ขึ้นมาเกินกว่า BB Avg

อีกวิธีหนึ่งในการใช้ Bollinger band เป็นจุดเข้าซื้อ คือเมื่อราคาลงมาถึงจุดๆหนึ่งจนไม่มีใครสนใจ ราคาก็จะไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ทำให้ bollinger bands ทั้ง 3 เส้นเคลื่อนตัวเข้ามาแทบจะชิดติดกันเป็นเวลานาน จนวันหนึ่งหุ้นตัวนี้เริ่มมีคนสนใจ ราคาจะทะลุเส้น bollinger band ด้านบนขึ้นไปด้านบน จังหวะนี้เป็นจังหวะที่ต้องเก็บหุ้นตัวนี้เข้าพอร์ตทันที เพราะลักษณะนี้ราคาจะไปได้อีกไกลมาก


ข้อมูลจาก http://www.sornhoon.com/d-bollinger-bands.aspx

------------------------------------------------------------------------------------


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com


วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

RSI คืออะไร



RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้น สำหรับการลงทุนในช่วงหนึ่ง เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT) หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) ซึ่ง RSI นี้จะวิ่งอยู่ระหว่าง 0 - 100 โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT หรือซื้อมากเกินไป มีโอกาศที่ราคาจะปรับตัวลงมา และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD หรือขายมากเกินไป มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นไป และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลงหรือยัง โดยมีสัญญาณเตือนที่แสดงออกมาในรูปแบบของการขัดแย้งกัน (DIVERGENCE) ระหว่างราคาหุ้นกับ RSI







วิธีใช้งาน RSI
1) ต่ำกว่าเส้น 30 คืออยู่ในเขต oversold เป็นช่วงแรงขายมากเกินไป ราคาอาจปรับตัวขึ้น แต่บางครั้งถ้าแนวโน้มยังคงเป็นขาลงที่แข็งแกร่งก็ยังไม่สามารถซื้อได้ถ้าแนวโน้มยังลงอยู่
2) เหนือกว่าเส้น 70 คืออยู่ในเขต overbought เป็นช่วงแรงซื้อมากเกินไป
แต่บางครั้งถ้าแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่งก็ยังไม่สามารถขายได้ถ้าแนวโน้มยังขึ้นอยู่
3) จะใช้ RSI ดู Overbought, Oversold ได้ดีตอนเป็น sideway 
4) นิยมใช้ดูการทำ Divergence ของระดับราคาหุ้นกับค่า RSI ซึ่งมักจะเป็นช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของตลาด (ความหมายของ Divergence คือ เมื่อระดับราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI ไม่ได้ทำจุดสูงสุดตาม)

ข้อมูลจาก http://www.sornhoon.com/d-rsi.aspx
------------------------------------------------------------------------------------


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com


วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

Moving Average Convergence Divergence – MACD คืออะไร


Moving Average Convergence Divergence – MACD คืออะไร 


ในเหล่านักลงทุน คงเคยได้ยินคำ MACD บ่อยมาก บางคนก็เรียก M-A-C-D บางคนก็อ่านว่า MAC-D ในบทความนี้ก็เลยจะมาคลายความสงสัยกันว่าเจ้า MACD นั้นคืออะไร ?

MACD หรือ Moving Average Convergence Divergence เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ของราคาเฉลี่ยใน 2 ช่วงเวลา โดยวิธีการคำนวณหา MACD นั้นคือการนำเส้น EMA 12 วัน ลบด้วย EMA 26 วัน ก็จะได้เส้น MACD
ส่วนเส้นสัญญาณ หรือ Signal Line นั้นก็คือเส้น EMA 9 วันโดยเปลี่ยนจากปกติเราใช้ราคา 9 วันย้อนหลังแต่เปลี่ยนเป็น MACD 9 วันย้อนหลังแทน



3 วิธีที่นักลงทุนนิยมใช้ MACD 

Crossovers จากที่เห็นในกราฟประกอบด้านบนจะสังเกตุได้ว่าเมื่อ MACD ตกลงมาต่ำกว่าเส้นสัญญาณ​ (Signal Line) เป็นการบ่งบอกถึง สภาวะ Bearish (ตลาดหมี) จึงอาจจะเป็นสัญญาณในการขาย ในทางกลับกันเมื่อเส้น MACD สูงกว่าเส้นสัญญาณ​ (Signal Line) นั้นก็หมายถึงสภาวะ Bullish (ตลาดกระทิง) ซึ่งอาจหมายความว่าราคาอาจจะมีแรงพลักดันให้ขึ้นสูงกว่านี้ นักลงทุนส่วนใหญ่จึงรอสัญญาณที่ชัดเจนก่อนเพื่อป้องกันการเกิด สัญญาณหลอก หรือ การเข้าซื้อก่อนเวลา ยกตัวอย่างลูกศรอันแรกในภาพด้านบน
Divergence เมื่อราคาหุ้นเกิดขึ้นลงสวนทางกับ MACD อาจหมายถึงสัญญาณการจบเทรนด์ เนื่องจากกับทำราคาสูงสุดครั้งล่าสุดนั้นมีแรง น้อยกว่า ครั้งก่อน จึงอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายและราคาสูงสุดครั้งต่อไปอาจจะต่ำกว่านี้ บทสรุปคือการเป็นการจบลงของเทรนด์ขาขึ้น
Dramatic Rise หาก MACD เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นหมายความว่า ราคาเฉลี่ยในระยะสั้น เริ่มห่างออกจากราคาเฉลี่ยระยะยาว จึงเป็นสัญญาณว่าหุ้นตัวนั้นอาจจะมีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought และ ต้องกลับมาในระดับที่ปกติเร็วๆ นี้
ข้อมูลจาก 
http://www.setinvestor.com/macd/
------------------------------------------------------------------------------------



หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

ON BALANCE VOLUME (OBV)



ON BALANCE VOLUME (OBV)

คือ Indicator ของการเคลื่อนไหวของปริมาณการซื้อขายต่อราคาที่เปลี่ยนไป ผู้คิดค้น On Balance Volume คือ Joe Granville เนื้อหาของ On Balance Volume มีอยู่ในหนังสือ New Strategy of Daily Stock Market Timing for Maximum Profits.

On Balance Volume (ดัชนีปริมาณหุ้นสะสม) เป็นการเคลื่อนไหวของจำนวนซื้อขายทั้งหมด มันจะแสดงปริมาณการซื้อขายของหุ้น เมื่อราคาปิดของหุ้นปิดสูงกว่าราคาปิดเมื่อวันก่อน ปริมาณซื้อขาย (Volume)ในวันนั้นจะถูกพิจารณาเป็นปริมาณซื้อขายแนวขึ้น (Up-Volume)ให้นำไปบวก เมื่อราคาปิดต่ำกว่าวันก่อน ในวันนั้นจะถูกพิจารณาเป็นปริมาณซื้อขายแนวลง (Down-Volume) ให้นำไปลบ

กรณีราคาปิดวันนี้สูงกว่าราคาปิดวันก่อน 
OBV วันนี้ = OBV สะสมจากวันก่อน+ปริมาณการซื้อขายวันนี้ 
กรณีราคาปิดวันนี้ต่ำกว่าราคาปิดวันก่อน 
OBV วันนี้ = OBV สะสมจากวันก่อน-ปริมาณการซื้อขายวันนี้ 


เส้น OBV ควรจะมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มราคา (CONFIRMATION) คือถ้าราคามีแนวโน้มสูงขึ้น (UPTREND) เส้น OBV ก็ควรจะมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคาหุ้นนั้นยังมีแนวโน้มไปในทิศทางเดิมอยู่ เนื่องจากมีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนมากพอ แต่ถ้าราคามีแนวโน้มต่ำลง (DOWNTREND) เส้น OBV ก็ควรมีแนวโน้มต่ำลงด้วยแต่ถ้า OBV มีทิศทางต่างกันกับแนวโน้มของราคา (DIVERGENCE) อาทิเช่น เส้นราคาไต่ระดับสูงขึ้น แต่เส้น OBV มีแนวโน้ม ลดต่ำลงก็จะเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อได้อ่อนตัวลง และอาจทำให้ราคาเปลี่ยนทิศทางเป็นลงได้
การใช้เส้น OBV เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคานั้นสามารถแยกวิเคราะห์ได้ดังนี้

1. ถ้าราคาหุ้นมีราคาสูงสุดครั้งใหม่พร้อมกับ OBV ด้วย หรือราคาหุ้นลดลงเป็นราคาต่ำสุดครั้งใหม่พร้อมกับเส้น OBV จะเป็นการยืนยันการขึ้นและลงของราคาหุ้น แต่ถ้าราคามีแนวโน้มลดลงในขณะที่แนวโน้มของเส้น OBV ยังสามารถขยับสูงขึ้นเป็นค่าสูงสุดครั้งใหม่ จะเป็นการยืนยันว่าราคาจะต้องขยับสูงขึ้นอีกครั้ง

2. โดยการใช้เส้นแนวโน้ม (TRENDLINES) เป็นเส้นแนวต้าน หรือเส้นสนับสนุน เมื่อเส้น OBV ตัดผ่านเส้นแนวต้าน เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มของราคาจะขึ้น

3. โดยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVING AVERAGE) สัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น OBV มีลักษณะอยู่ในแนวโน้มขึ้นและตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ขึ้น และสัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น OBV กำลังลดลงและตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลง


ความหมาย
การเปลี่ยนแปลง OBV มักจะนำมาก่อนการเปลี่ยนแปลงราคา ตามทฤษฎี ถ้าปริมาณหุ้นสะสมเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้นชัดเจนกว่าราคา แสดงว่ากำลังมีเงินจากผู้ลงทุนบางรายเข้ามาซื้อสะสมหุ้นมากขึ้น แต่ถ้าทั้งราคาและปริมาณสะสมวิ่งขึ้นไปด้วยกัน หมายถึงผู้ลงทุนทั่วไปเข้ามาทำการซื้อขายร่วมด้วย

ส่วนถ้าราคาขึ้นก่อนปริมาณสะสม(OBV)ขึ้นยังไม่ถือเป็นการยืนยันการขึ้นของหุ้นแต่อย่างใด การไม่ยืนยันการขึ้นของหุ้นสามารถเกิดได้ทั้งเมื่อตลาดดีและตลาดไม่ดี

ถ้าราคาหุ้นมีราคาสูงสุดครั้งใหม่พร้อมกับ (OBV)ด้วย หรือราคาหุ้นลดลงเป็นราคาต่ำสุดครั้งใหม่พร้อมกับเส้น OBV จะเป็นการยืนยันการขึ้นลงของราคาหุ้น แต่ถ้าถ้าราคามีแนวโน้มลดลงในขณะที่แนวโน้มของเส้น OBV ยังไม่สามารถขยับสูงขึ้นเป็นค่าสูงสุดครั้งใหม่ จะเป็นการยืนยันว่าราคาจะต้องขยับสูงขึ้นอีก เมื่อOBV เริ่มเคลื่อนไหวออกด้านข้างไม่ทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุด เส้นOBV ยังไม่บอกแนวโน้มของราคาหุ้น

เมื่อเริ่มเกิดเส้นแนวโน้มบางครั้งและยังอยู่ในแนวที่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะไปทางไหน ถ้าเส้นแนวโน้มเปลี่ยนจากแนวโน้มขึ้นมาเป็นไม่สามารถบอกทิศทางได้อยู่ประมาณ 2 วัน ก่อนจะกลับไปเป็นเส้นแนวโน้มขึ้น เส้น OBV จะยังคงถูกพิจารณาเป็นแนวโน้มขึ้น



การตีความหมายของเส้น OBV





อ้างอิงจาก tradings.maybank-ke.co.th
                   ideatechnical
-------------------------------------------------------------------------------------------------------


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com





วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

การใช้ ADX หรือ Average Directional Index เพื่อดูการเคลื่อนตัวของหุ้นว่าอยู่ในระยะเริ่มต้นหรือปลาย

การใช้ ADX หรือ Average Directional Index เพื่อดูการเคลื่อนตัวของหุ้นว่าอยู่ในระยะเริ่มต้นหรือปลาย


ADX จะมีหน้าที่บอกความแรงของทิศทางของราคาหุ้น ขึ้นแรงใหม ลงแรงใหม (ปกติจะใช้ default ที่ 14)  แต่มันจะไม่บอกว่าตอนนี้อยู่ทิศใหน จึงต้องใช้คู่กับอีก 2 ตัวคือ plus direction index และ minus directional index วิธีดูโดยปกติ ถ้า plus อยู่สูงกว่า minus จะชี้ว่า ADX กำลัง ชี้กำลังของขาขึ้น
สูตรที่มีความสัมพันธ์คือ PDI MDI  DMI ADX ADXR ADX classic
 ยังไงก็กรุณาเปลี่ยนสีด้วย แล้วอย่าลืม "save as default" เพื่อให้จำสีไว้ จากรูป


ตรงกลางจะเป็น DMI 14 เส้นสีส้มจะเป็น ADX 14 สืเขียวเป็น PDI 14 สีแดงเป็น MDI 14 เนื่องจาก ADX ไม่แยกว่าขึ้นหรือลงจึงต้องดู เป็นว่าถ้าสีเขียวสูงกว่าแดงก็สถานะขึ้น กลับกันก็ลง จากในรูปช่วงประกาศ 30% ADX จะชี้ว่าตลาดขายแรงมากและยอดของมันจะชี้ถึงปลายจนตกลงมาตำกว่า 40-50 ก็หมายถึงมันกำลังกลับทิศทาง
รูปตรงกลางเราใส่ เส้นประ สีขาว ที่ 20 (ตรงนี้ใช้เส้นแนวนอน) ให้มองว่าถ้า ADX ตำกว่าเส้นนี้คือตลาดจะเป็น sideway ถ้า ADX เริ่มต้นที่จะสูงกว่าเส้นนี้ก็แสดงการเริ่มต้นของขาขึ้น (หรือลง)
ส่วนเส้นชมพูคือ 40 ในขาขึ้นขอให้เริ่มระวังเมื่อมันอ่อนตัวลงโดยเฉพะถ้าต่ำลงมา
ADX จะใช้ดูในเชิง divergence convergence ได้ดูรูปข้างล่าง


ในรูป ADXR จะมีสัญญาณคล้ายๆกับการใช้ MACD ก็ลองประยุกต์ดู
สรุปวิธีการใช้คร่าวๆคือส่วนใหญ่ใช้ ADX 14 ถ้า ADX ต่ำกว่า 20-25 maket จะเป็น sideway เริ่มเหนือ 20--30 จะเป็นแทรนทิศทางนั้นคือถ้าขึ้นก็มีกำลัง (ให้ดูที่ Plus หรือ minus เพื่อรู้ว่าขาขึ้นหรือลง) ตั้งแต่ 40-50 แล้วอ่อนตัวจะชี้ถึงการกลับทิศทาง



หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แผนภูมิทางเทคนิค



 การวิเคราะห์สมัยใหม่มักจะใช้โปรแกรมวิเคราะห์หุ้นในการสร้างกราฟเพื่อการวิเคราะห์ ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่าในอดีตที่ต้องทำด้วยมือ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องอาศัยการอ่านความหมายจากกราฟอยู่ดี เราสามารถนำค่าของราคาหุ้น ปริมาณการซื้อ การขาย วัน และเวลา มาสร้างเป็นกราฟขึ้นมา กราฟแผนภูมิแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ

    1. แผนภูมิแบบเส้น (Line Chart) เป็นกราฟที่นำราคาปิดของหุ้นมาลากต่อเนื่องกันโดยไม่ใช้ราคาสูงและราคาต่ำเลย

    2. แผนภูมิแบบแท่ง (Bar Chart) เป็นกราฟที่แสดงให้เห็นทั้งราคาปิด ราคาเปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดของหุ้น จะมีลัษณะเป็นแท่งในแนวตั้ง มีเส้นขวางไปทางซ้ายแทนราคาเปิด เส้นขวางไปทางขวาแทนราคาปิด จุดสูงสุดของแท่งแทนราคาสูงสุด จุดต่ำสุดของแท่งแทนราคาต่ำสุด

    3. แผนภูมิ Point & Figure เป็นแผนภูมิพิเศษ ที่ทำการบันทึกโดยไม่สนใจเรื่องวันเวลา แต่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ(significance) ซี่งมักจะใช้สามช่วงราคาเป็นเกณฑ์

        ประมาณปี ค.ศ.1985 ได้มีนักวิชาการชาวอเมริกัน เข้าไปศึกษาการวิเคราะห์หุ้นของประเทศญี่ปุ่น จึงได้นำการวิเคราะห์แบบญี่ปุ่นไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา จนเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง จึงอาจกล่าวได้ว่าได้เกิดกราฟแผนภูมิแบบที่ 4 คือ แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart) นั่นเอง





หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

4 หลักการสยบหุ้นไทย



Eanning Per Share (EPS)
คือกำไรต่อหุ้น ผลกำไรต่อหุ้นจะชี้ให้เห็นถึงการบริหารส่วนทุนรวมทั้งหนี้ว่าก่อให้เกิดรายได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งผู้ถือหุ้นได้แก่ เจ้าของบริษัทหรือผุ้ลงทุนจะคำนึงถึงอัตราส่วนตัวนี้มาก

EPS = EAT / จำนวนหุ้นของบริษัททั้งหมด

ค่า EPS นี้ยิ่งสูงยิ่งดี ค่า EPS ควรจะมีค่ามากน้อยเพียงใดจึงจะเหมาะสม ปกติค่าอัตราส่วนนี้ยิ่งสูงยิ่งดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ว่าอยู่ในธุรกิจประเภทใด ดังนั้นจึงมักจะเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน กล่าวคือ ถ้าหากค่าอัตราส่วนของบริษัทสูงกว่าค่าเฉลี่ยก็แสดงว่าบริษัทนั้นมีการบริหารส่วนทุน อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ได้ผลกำไรต่อหุ้นสูง

Dividends Per Share (DPS)
คือเงินปันผลต่อหุ้นที่จะแบ่งสรรให้ผู้ถือหุ้น โดยอาจแบ่ง EAT ส่วนหนึ่งสำหรับไว้ลงทุนต่อหรือขยายกิจการตามความเหมาะสม และอีกส่วนหนึ่งแบ่งสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีสูตรการคำนวณ คือ

DPS = Dividend / จำนวนหุ้นของบริษัท

= EAT ที่จัดสรรให้ผุ้ถือหุ้น / จำนวนหุ้นของบริษัท

PBV (Price Book Value)
คือมูลค่าส่วนผู้ถือหุ้น หรือถ้าความหมายจริงๆ ก็คือ มูลค่าของทรัพย์สินที่หักด้วยหนี้สินแล้ว เหลือเป็นมูลค่าของผู้ถือหุ้นเท่าไร
มูลค่าทางบัญชี มันจึงเกิดปัญหาขึ้นมาคือ การลงบัญชีนั้นแต่ละบริษัทอาจบันทึกสินทรัพย์และหนี้สินแตกต่างกันไป เช่นสินทรัพย์ถูกกำหนดให้บันทึกมูลค่าที่ราคาทุน คือราคาที่ได้สินทรัพย์นั้นมา บางบริษัทมีที่ดินที่บันทึกไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พอมาถึงปัจจุบันมูลค่าของที่ดินเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว แต่มูลค่าที่บันทึกลงในบัญชีนั้นยังมีมูลค่าเท่ากับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หากไม่มีการประเมินมูลค่าและบันทึกบัญชีใหม่มูลค่าก็ยังคงบันทึกเอาไว้เท่าเดิม มูลค่าทางบัญชีนี้ถ้าหากเราเข้าใจลึกซึ้งก็สามารถช่วยให้เราค้นพบบริษัทที่น่าลงทุนได้ไม่ยาก

P/E (Price/Earning per Share)
คืิอ ถ้าสมมติว่ากำไรของบริษัทไม่เติบโตเลย P/E 
จะหมายถึงระยะเวลาคืนทุน เช่น P/E 5 เท่าหมายถึงระยะเวลาลงทุน 5 ปี ... P/E นี่ยิ่งต่ำยิ่งดีครับ




หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

AdvancedGET: Trade Profile


วิธีการใช้ Trade profile ของ AdvancedGET



จะมีรูปแบบข้างบน ให้เราใส่ใจที่เส้นยาวและหนา จะหมายถึง มี volume มาก

สีแดงแสดงตำแหน่งที่ว่า มีการขายในอดีต นำเงินคือซื้อในอดีต

การใช้เบื้องต้นคือ

สีแดงจะเป็นแรงต้านในเบื้องต้น หากทะลุไปได้ก็จะกลายเป็นแนวรับได้

ถ้าเป็นสีนำเงินก็จะแนวรับที่ดีแต่หากทะลุลงก็จะกลายเป็นแนวต้านเช่นกัน




หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

การใช้ moving average off-set เพื่อดู จังหวะเข้าออกแบบ ง่ายจาก AdvancedGET


การใช้ moving average off-set เพื่อดู จังหวะเข้าออกแบบ ง่ายจาก AdvancedGET


คลิกที่ปุ่ม MA แล้ว SET ค่า ดังรูปข้างล่าง


อย่างไรก็ดีคุณสามารถปรับให้มีความเหมาะสมได้อาทิ
period/Offset/Source/Exponential
set 1)
10/4/High/EX
10/4/Low/EX
set 2)
5/4/High/EX
5/4/Low/EX
set 3)
10/3/High/Ex
10/3/Low/Ex
วิธีการใช้สูตรนี้ก็คือ
๑ ถ้าราคา ตัดขึ้นทั้ง สองเส้นจะเป็นสัญญาณเข้า
๒ ถ้าราคา ตัดลงทั้ง สองเส้นจะเป็นสัญญาณออก
จะสังเกตุเห็นว่าจะเหมาะกับผู้ ที่ต้องการเข้าออก เป็น ช่วงๆโดยจะไม่ถือ เมื่อมีสัญญาณขาลง



หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Double Bottoms (Adam&Eve) Patterns


Double Bottoms (Adam&Eve) Patterns


รูปแบบของลักษณะกราฟ adam & eve


Upward Breakouts, U-turn pattern, ใช้ในจังหวะทะลุ กลับตัวขึ้น


Spotting This Price Patterns: 

กราฟ SET ที่เกิด adam & eve เป็น confirmmation pattern ที่สมบูรณ์


รูปแบบ คือ เป็นราคาต่ำสุด 2 ครั้งโดยมี ซึ่งราคาต่ำทางซ้ายเป็นลักษณะการกลับตัวขึ้นในเวลาเพียง 1-3 วัน (ADAM Reversal) และราคาต่ำสุดทางขวาจะเป็นลักษณะการกลับตัวขึ้นในเวลาหลายวัน อาทิเช่น 1 อาทิตย์ หรือจนเป็นเดือนๆ ราคาจะต้องทะลุเป็นกราฟลักษณะ W ก่อนจึงจะมี confirmation pattern ที่สมบูรณ์

โครงสร้าง

เปรียบเทียบความกว้าง, ยาว, volume, trend

Better performance during year high


  • รูปแบบใน บริเวณ Year High จะมีความสามารถสูงกว่า

  • ลักษณะกราฟ Wave W ควรมีความสูงกว่า 10% ของฐานคลื่นตัวเอง

  • ลักษณะกราฟ Wave W หากมีความสูงกว่า 20% ของฐานคลื่นตัวเอง จะทำให้มีความสามารถสูงกว่า

  • Osc ของขาซ้ายและขาขวาควรมีราคาใกล้เคียงกัน

  • ถ้าหากมี volume ขาซ้ายมากๆ จะมีความสามารถสูงกว่า

  • ถ้าหากมีลักษณะ Volume เป็นรูป U กลับหัวจะดีกว่าถ้าเป็น ตลาด กระทิง ถ้าเป็นตลาดหมีควรเป็น U volume จะดีกว่า

  • Volume ที่มีลักษณะอ่อนตัวลงเรื่อยๆ จะดีกว่า Volume ที่มีลักษณะตรงกันข้ามกัน

  • Break out volume ไม่มีความหมายพิเศษ

  • หากกราฟที่เกิดมีความยาวประมาณ 2-6 อาทิตย์จะแสดงลักษณะที่ดี แต่ถ้าหากยาวกว่า 8 อาทิตย์ จะด้อยกว่าปกติ

  • จุด confirm คือเมื่อเกิดคลื่นเป็นรูปแบบ W แล้ว

  • หาก Osc ของขาขวาต่ำกว่าจะดีกว่าถ้าเป็นตลาดกระทิง แต่ถ้าเป็นตลาดหมี Osc ของขาซ้ายควรต่ำกว่าจะเป็นการที่ดีกว่า


Statistics สถิติ


การใช้ Statistics วิเคราะห์กับกราฟ SET


Bull Market
Bear Market

Snapshot

ระดับความสามารถเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นๆ*
D
B
ขึ้นไม่ถึง 5% เมื่อถึงจุดซื้อ
5%
4%
ขึ้นเฉลี่ย
37%
33%
ขึ้นเฉลี่ยเกิน 45%
29%
27%
ขาขึ้นใช้เวลาเฉลี่ยวัน
160
99
ตกเฉลี่ยหลังจากขาขึ้นหมด
-33%
-35%
เทรนด์ของ volume
อ่อนลง
อ่อนลง
สะดุด Throwbacks
59%
54%
Throwbacks มีเวลาเฉลี่ยวัน
10
9
ราคาถึงจุดเป้าหมาย
66%
56%

Throwbacks & Gap
ขึ้นฉลี่ยถ้าไม่มี throwbacks
43%
38%
ขึ้นฉลี่ยถ้ามี GAP
36%
33%
ขึ้นฉลี่ยถ้าไม่มี GAP
37%
32%

Source: encyclopedia of chart patterns 2nd edition Thomas N. Bulkowski

  • ถ้าคุณเทรดในระหว่างรูปคลื่น W ให้ระวังว่าจะโอกาส 64% ที่จะไม่ทะลุเป็นรูปคลื่น W และอาจจะทำการ short หากคลื่นไม่สามารถทะลุได้

  • อย่าเทรดขาขึ้นถ้าไม่เกิดรูปคลื่น W และยังมีการที่ตกลงต่ำกว่าขาขวา

  • ถ้าทะลุจากราคา Confirmed ไม่เกิน 5 % อาจทำให้รูปแบบอาจล้มเหลวได้


Trading Technique:





 การใช้ Trading Technique วิเคราะห์กราฟ SET


กราฟแสดงลักษณะคลื่นที่ขาขึ้นและขาลงที่มีสถิติใกล้กัน

Related Patterns

Double bottoms, Adam & Adam, Eve & Adam, Eve & Eve, head-and-shoulder bottoms complex, head-and-shoulders bottoms, Rectangle bottoms, triple bottoms, Pipe Bottoms, Horn Bottoms, Broadening Bottoms

Statistics Table Notes :

ระดับความสามารถ* A = 90% > B = 80% > C = 70% > D = 60% > E = 50% > F = 40% > G = 30% > H = 20% > I = 10%

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com




Ads Inside Post