วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

9 หุ้นอาการน่าเป็นห่วง ชั่วโมงเดียวร่วงเกิน 10%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TSI ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 12.60 บาท ลบ 6.60 บาท หรือ 34.38% มูลค่าการซื้อขาย 6.27 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ABC ณ เวลา 10.32 น.อยู่ที่ 2.26 บาท ลบ 0.96 หรือ 29.81% มูลค่าการซื้อขาย 44.65 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CSS ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 6.05 บาท ลบ 1.20 บาท หรือ 16.55% มูลค่าการซื้อขาย 14.55 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 1.82 บาท ลบ 0.30 บาท หรือ 14.15% มูลค่าการซื้อขาย 53.49 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท บริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) หรือ GENCO ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 2.62 บาท ลบ 0.32 บาท หรือ 10.88% มูลค่าการซื้อขาย 21.08 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท อลูคอน จำกัด (มหาชน) หรือ  ALUCON ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 209.00 บาท ลบ 26.00 บาท หรือ 11.06% มูลค่าการซื้อขาย 0.05 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท เอเชีย คอร์ปอเรท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ACD ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 2.70 บาท ลบ 0.32 บาท หรือ 10.60% มูลค่าการซื้อขาย 2.45 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 9.10 บาท ลบ 1.10 บาท หรือ 10.78% มูลค่าการซื้อขาย 301.31 ล้านบาท


ราคาหุ้น บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี  จำกัด (มหาชน) หรือ VIBHA ณ เวลา 10.45 น.อยู่ที่ 14.30 บาท ลบ 1.60 บาท หรือ 10.06% มูลค่าการซื้อขาย 6.71 ล้านบาท



ขอบคุณบทความจาก :: http://www.kaohoon.com/online/content/view/8351/

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

6 ปัญหาที่มักพบในการเริ่มต้นทำธุรกิจ




          เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมเหมือนบะหมี่สำเร็จรูป เรื่องปัญหาและอุปสรรคจึงเป็นเสมือนเงาตามตัวในการดำเนินธุรกิจของทุกบริษัท ในสังคมโลกเศรษฐกิจ ซึ่งปัญหาอาจหนักบ้างในบางเวลาหรือเบาบ้างในบางสถานการณ์ก็แล้วแต่อุปสรรคใน ขณะนั้น ประสบการณ์และความรู้มีส่วนช่วยอย่างมากในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่สำหรับบริษัทธุรกิจที่เพิ่งจะก่อตั้งใหม่ๆ ดูจะเป็นประเด็นปัญหาที่สร้างความหนักอกหนักใจให้ผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก อาจด้วยเพราะความเป็นมือใหม่ขาดประสบการณ์ในการแก้ปัญหาและองค์ประกอบทาง ด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เกิดความได้เปรียบ จึงทำให้บริษัทเพิ่งก่อตั้งใหม่มักจะไปไม่ค่อยรอดปัญหาคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในการทำธุรกิจ แต่จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้นหากเกิดกับธุรกิจที่เพิ่งจะก่อตั้ง การเรียนรู้ปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นจริงจึงเป็นทางออกสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ ประกอบการสามารถเอาชนะและฟันฝ่าอุปสรรคดังกล่าวได้ เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมเหมือนบะหมี่สำเร็จรูป เรื่องปัญหาและอุปสรรคจึงเป็นเสมือนเงาตามตัวในการดำเนินธุรกิจของทุกบริษัท ในสังคมโลกเศรษฐกิจ ซึ่งปัญหาอาจหนักบ้างในบางเวลาหรือเบาบ้างในบางสถานการณ์ก็แล้วแต่อุปสรรคใน ขณะนั้น ประสบการณ์และความรู้มีส่วนช่วยอย่างมากในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่สำหรับบริษัทธุรกิจที่เพิ่งจะก่อตั้งใหม่ๆ ดูจะเป็นประเด็นที่สร้างความหนักอกหนักใจให้ผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก อาจด้วยเพราะความเป็นมือใหม่ขาดประสบการณ์ในการแก้ปัญหาและองค์ประกอบทาง ด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เกิดความได้เปรียบ จึงทำให้บริษัทเพิ่งก่อตั้งใหม่มักจะไปไม่ค่อยรอดเมื่อพบเจอเข้ากับปัญหาจนอาจปิด กิจการลงในเวลาอันรวดเร็ว หรือส่วนที่เหลือรอดอยู่ก็โซซัดโซเซกว่าจะตั้งหลักได้ก็กินเวลาปาเข้าไปหลาย เดือน ดังนั้นการเรียนรู้ปัญหาทก่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการทุกคนไม่ควร มองข้าม เพราะจะเป็นทั้งครูและบทเรียนช่วยสอนให้ผู้ประกอบการสามารถผ่านอุปสรรคไปได้ ซึ่งประเด็นปัญหาที่มักจะพบสำหรับการเริ่มต้นสร้างธุรกิจมีดังต่่อไปนี้

1. ขาดแคลนทั้งเงินทุนและกระแสเงินสดหมุนเวียน

 

เรื่องเงินนี้ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในบรรดาปัญหาทั้งหลายเลยทีัเดียว เพราะการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจแทบทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทุนแทบทั้งสิ้น ยิ่งระบบธุรกิจในปัจจุบันมีลักษณะเป็นทุนนิยมเสรีด้วยแล้ว บริษัทของผู้ประกอบการใดที่พบเจอกับปัญหานี้ล้วนต้องปวดเศียรเวียนเกล้า อย่างแน่นอน ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือผู้ประกอบการคือต้องจัดการบัญชีและการ เงินให้ดี พร้อมทั้งวางระบบบริหารที่ถูกต้อง มีเงินทุนที่ต้องใช้จ่ายจริงและทุนสำรองที่มากเพียงพอต่อการประกอบธุรกิจ หรืออาจใช้การขอสินเชื่อจากทางธนาคารและสถาบันทางการเิงินที่ปัจจุบันมี โปรแกรมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจขนาด SME ตามที่เคยแนะนำไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เข้ามาช่วยเหลือและขจัดปัญหาในส่วนนี้ ทั้งนี้เงินทุนของบริษัทควรต้องแยกออกจากเงินส่วนตัว ไม่ควรที่จะนำมาใช้ร่วมกัน เพราะอาจทำให้ผู้ประกอบการเจอเข้ากับปัญหาชีวิตของตนเองเข้ามาอีกหนึ่งปัญหา

2. ไม่มีความรู้ด้านบัญชีและกฎหมาย

 

เรื่องการทำบัญชีและข้อกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญมากในการก่อตั้งบริษัท ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พบกับปัญหานี้ค่อนข้างมาก เพราะเกือบจะทั้งหมดของผู้ก่อตั้งบริษัทมักเป็นผู้มีไอเดียความคิดสร้าง สรรค์ที่มองเห็นช่องทางการทำธุรกิจและบุุคคลที่เคยประกอบอาชีพหรือมี ประสบการณ์ทางด้านอื่นๆ มาก่อน แต่ไม่ใช่ผู้มีความรู้หรือจบการศึกษาด้านบัญชีและกฎหมายโดยตรงจึงไม่รู้ว่า ควรจัดการกับบัญชีอย่างไร การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทต้องทำแบบไหน และมีเอกสารสำคัญอะไรบ้าง ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างสลับซับซ้อนมาก อีกทั้งบางเรื่องผู้ประกอบการก็ไม่สามารถค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ตแน่นอน วิืธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือเลือกใช้บริการบริษัทรับทำบัญชีและบริษัทให้คำ ปรึกษาทางกฎหมายให้เป็นผู้ดูแลโดยเฉาะจะสะดวกกว่าดูแลด้วยตนเองหลายเท่าตัว และยังป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ผู้ประกอบการก็ต้องหมั่นศึกษาและเรียนรู้วิธีการทำงานของบริษัทเหล่านี้ ด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกบริษัทบัญชีและกฎหมายนั้นต้องเลือกจากความ น่าเชื่อถือเป็นสำคัญ

3. ไม่มีพนักงานที่มีความสามารถมากพอ

 

บริษัทที่เพิ่งจะก่อตั้งใหม่มักไม่ค่อยได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไปซึ่ง มีความรู้และประสบการณ์จึงกลายเป็นหนึ่งในปัญหาที่น่าหนักใจของผู้ประกอบการ ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือผู้ประกอบการอาจต้องยอมจ่ายบ้างเพื่อจ้างพนักงาน ที่มีประสบการณ์และความรู้ที่เหมาะสมจะเข้ามานั่งทำงานในบริษัท โดยต้องมีข้อเสนอพร้อมทั้งสวัสดิการที่น่าสนใจมากเพียงพอจะดึงดูดให้มาร่วม งานได้ แต่หากบริษัทของผู้ประกอบการติดขัดในเรื่องเงินเดือน ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนในระดับดังกล่าวก็ควรพูดคุยกับพนักงานโดยตรง พร้อมทั้งให้สัญญาใจต่อกันว่าจะขึ้นเงินเดือนให้หากผลประกอบการเมื่อสิ้นปี ได้ผลบวกและมีกำไรอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และเมื่อทำได้แล้วก็ต้องไม่หลงลืมสัญญา เพียงเท่านี้บริษัทก็น่าจะได้สมาชิกใหม่ซึ่งเป็นพนักงานที่มีความรู้ความ สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทอย่างแน่นอน

4. ไม่มีเครือข่ายสังคมธุรกิจที่กว้างมากพอ

 

ผู้ประกอบการมือใหม่มักพบปัญหาการสร้างเครือข่ายอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าการมีเครือข่ายสังคมจะช่วยผลักดันการทำธุรกิจ ได้อย่างมาก เพราะเครือข่ายสังคมจะช่วยกระจายข่าวเกี่ยวกับบริษัทและการดำเนินธุรกิจของ เราไปสู่บุคคลภายในภาคส่วนต่างๆ ของสังคม ทำให้มีผู้สนใจอยากจะใช้บริการและให้การสนับสนุนธุรกิจมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้เครือข่ายสังคมไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างกันได้ง่ายๆ ต้องอาศัยระยะเวลาบวกกับเทคนิคมนุษยสัมพันธ์ จริงอยู่ที่ว่าผู้ประกอบการธุรกิจควรสร้างเครือข่ายไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มก่อ ตั้งบริษัท แต่ก็ใช่ว่าจะสายเกินไปที่จะสร้า้งสังคมธุรกิจขึ้นหลังจากเปิดตัวบริษัทไป แล้ว เพราะคำว่ามิตรภาพอยู่นอกเหนือข้อจำกัดเรื่องกรอบเวลาเสมอ ทุกนาทีผู้ประกอบการสามารถสร้างเพื่อนได้มากกว่าสร้างศัตรูแน่นอน

5. ขาดความน่าเชื่อถือเพราะไม่มีประสบการณ์

 

ไม่มีประสบการณ์เป็นปัญหาอีกหนึ่งเรื่องที่บริษัทเปิดใหม่มักพบเจอโดย เฉพาะเวลาออกไปขายงานกับลูกค้า เพราะสิ่งที่ลูกค้าอยากรู้เป็นอันดับแรกในการสนทนาก็คือเรื่องประสบการณ์การ ทำงานที่ผ่านมาของบริษัท ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดของบริษัทเปิดใหม่ที่ยังมีผลงานไม่มากนัก ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือนำเอาประวัติการทำงานส่วนตัวซึ่งเกี่ยวข้องกับ ธุรกิจที่กำลังทำอยู่ออกมาแสดงอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยผลงานที่นำออกมาแสดงต้องมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าปกติทั่วไป แต่หากผู้ประกอบการไม่มีประวัติการทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่กำลังทำ อยู่เลนเพราะเพิ่งจับตลาดและทำธุรกิจเป็นครั้งแรก ก็ขอให้แสดงรูปแบบและอธิบายวิธีการทำงานของบริษัทให้ลูกค้าฟังอย่างละเอียด แทนและขอให้เพิ่มการรับประกันคุณภาพการทำงานด้วย เพราะจะทำให้บริษัทของผู้ประกอบการสามารถขายงานหรือทำสัญญาทางธุรกิจได้มาก ยิ่งขึ้น

6. ธุรกิจขาดทุน

 

ปัญหาสุดท้ายที่มักพบสำหรับธุรกิจเปิดใหม่และเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการขาดทุนอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้นแล้ว หากบริษัทเปิดใหม่มีเงินทุนสำรองไม่มากก็มักต้องปิดกิจการไปหลายราย ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือผู้ประกอบการต้องทำแผนธุรกิจให้ละเอียดทุก เรื่องรวมถึงช่องทางและวิธีการแก้ปัญหาหากยอดขายและผลกำไรไม่เป็นไปตามเป้า ที่วางไว้ ซึ่งช่องทางและวิธีแก้ไขปัญหารวมถึงแหล่งเงินทุนสำรอควรต้องระบุลงไปให้้ ชัดเจนในแผนธุรกิจด้วย จึงจะสามารถป้องกันไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างมีระบบและเป็นรูปธรรมถาวร อีกด้วย
ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะแก้ไขได้ยากเย็นและต้องใช้ความอดทนสูงมากขนาดไหนก็ ตาม มันก็คือบททดสอบที่ดีที่สุดของผู้ประกอบการว่าพร้อมแล้วหรือยังที่จะเดิน ขึ้นไปยังจุดที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถเอาชนะปัญหาดังกล่าวได้ก็คงไม่มีอะไรที่มาทัดทาน ความสำเร็จในอนาคตได้อย่างแน่นอน และท้ายที่สุดแล้วชัยชนะของผู้ประกอบการก็จะถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ให้นักธุรกิจใหม่รุ่นได้ศึกษากันต่อไปในที่สุด

ขอบคุณบทความจาก :: http://incquity.com/articles/startup/6-business-startup-problems


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

ลงทุนในหุ้นฉบับ “มนุษย์เงินเดือน” ทำอย่างไร?


ลงทุนในหุ้นฉบับ “มนุษย์เงินเดือน” ทำอย่างไร?

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา “การเล่นหุ้น” เป็นสิ่งที่ “มนุษย์เงินเดือน” มองว่ามันเป็นความหวังและทางออกของอิสรภาพทางการเงินนะครับ แต่ถ้าไปถามเรื่องราวของหุ้นกับผู้ใหญ่ในรุ่นก่อนหน้าเรา โดนเฉพาะผู้ที่ผ่านวิกฤตการต้มยำกุ้ง เขาอาจจะให้ความเห็นแตกต่างกับเราไปในทำนองว่า หุ้นมันคือการพนัน อย่าเล่นเลย มันน่ากลัว อันตราย และจะบรรยายเหตุการณ์ที่มีคนพยายามฆ่าตัวตาย ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ ม.3-ม.4 ได้ เวลาไปไหนต่อไหนก็จะมีแต่คนพูดเรื่องนี้ ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจหรอก เวลานั่งแท็คซี่พี่คนขับก็บรรยายให้ฟังเพราะว่าหลายคนทำงานประจำอยู่ เช่น ในภาคธนาคาร สถาบันการเงิน แต่ถูกปลดจากงานทั้งๆที่มีภาระหนี้ ต้องมาขับแท็คซี่เพื่อหารายได้แทน หนึ่งในคำถามที่ผมคิดมาตลอดก็คือ “ตกลงหุ้นมันคือการพนันหรือการลงทุนกันแน่ละครับ?”

ราคาหุ้นมีทั้งขึ้น มีทั้งลง ระดับวินาที นาที วัน เดือน ปี
ทุกๆวันจะมีคนขาดทุนและมีคนกำไรจากการซื้อขาย
แต่จะมีบางคนที่สร้างผลตอบแทนตลอดการอยู่เช่นกัน

ลาออกจากมนุษย์เงินเดือนมาเล่นหุ้นดีไหม??? ชิวดี!!! สร้างอิสรภาพทางการเงินได้ด้วย?

ผมเชื่อว่าหลายคนมีความคิดเช่นนี้ โดยเฉพาะในช่วงหุ้นที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้นอยู่ต่อเนื่อง แน่สิ!!! แค่พูดถึงงานประจำยังอยากลาออกเลย พอคนเอาเรื่องการสร้างรายได้ด้วยการลงทุนในหุ้นมาใส่สมองแล้วยิ่งอยากลาออก เข้าไปใหญ่ งานอะร๊ายยย!!! นั่งอยู่กับบ้านกระดิกขา กดปุ่ม “Buy” หุ้นขึ้นๆๆๆ กดปุ่ม “Sell” ขาย ลงทุนซัก 100,000 บาท ขายตอนกำไรซัก 1-2% พอ ถ้าได้กำไรมาวันละ 1,000 – 2,000 บาท คิดไปคิดมา เทรดจันทร์ถึงศุกร์ 22 วันได้เดือนละ 44,000 บาท ได้เงินเดือนกว่าการทำงานประจำอีก และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายเข้ามาศึกษาการ เล่นหุ้น สร้างผลกำไร และหลายคนเข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นแล้วก็พบว่า ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

หุ้นมันไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว มันมีลงด้วย

การที่เรามองแง่ดีอย่างไม่โลภว่าแค่ได้กำไรวันละ 1,000-2,000 บาท กำไรนิดๆหน่อยๆขายก็สบายแล้ว ถอนมาใช้รายวันได้อย่างง่ายๆ แต่ถ้าวันดีคืนดีคุณต้องพบเหตุการณ์ “ขาดทุน” ขึ้นมาวันละ 1-2% บ้างล่ะ? โอ้ย!!! จะเป็นลมให้ได้เลยใช่ไหม และถ้าคุณต้องใช้เงินทั้งก้อนนั้นซึ่งเป็นเงินก้อนเดียวที่มีอยู่ในการใช้ ชีวิตชิวๆ มันก็อาจจะทำให้เราแย่ได้เพราะไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายรายวันแทน เงินมันฝากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ขาดทุนย่อยยับ ไม่กล้าขายหรอกครับ และถ้าขายไป เงินที่เคยได้มาก็คืนให้กับตลาดไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่คนที่เล่นกับการซื้อขายจากการทำกำไรในราคาหุ้นมักจะขาดทุนมากกว่า กำไร ภาษาบ้านๆที่เราชอบพูดกันก็คือ “แมงเม่า” และคุณต้องเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ

ราคาหุ้นที่ขึ้นลงๆเป็นเรื่องแห่งความคาดหวัง ไม่มีทางที่ทุกคนจะรวยขึ้นพร้อมกันได้ในระยะสั้นๆ ขณะที่บริษัทต้องใช้เวลาในการเติบโตที่นานกว่านั้น เมื่อมีความคาดหวังก็ต้องมีการลดความคาดหวัง เมื่อมีการซื้อเพื่อแสวงหากำไร ก็ต้องมีคนขายเพื่อทำกำไร ในระยะสั้นก็ย่อมมีคนถอนความมั่งคั่งไป ในขณะที่คนที่เหลืออยู่ก็ต้องถูกลดความมั่งคั่งลงเช่นกัน

คำถามที่หลายๆคนอาจจะสงสัยก็คือ “ทำไมหลายๆคนดูกราฟเก่ง เขาก็เก็งกำไรกันได้มากๆ” อัน นี้ก็เป็นศาสตร์ของการลงทุนแบบหนึ่งที่คุณสามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้นะครับ มีหลายคนประสบความสำเร็จในการลงทุนนี้ คุณต้องมองให้ออกและใช้เวลาศึกษามันให้มากพอสมควร แต่ในส่วนตัวของผมเองคิดว่าการลงทุนที่ผมอยากจะแนะนำให้กับมนุษย์เงินเดือน หรือคนที่อยากออกจากงานประจำเพื่อไปทำงานฟรีแลนซ์ได้เป็นทางเลือกคือ “การออมหุ้น” 

“การออมหุ้น” เหมาะสมกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างไร?

หลายคนอยากจะสร้างความมั่งคั่งก็เลยลงมา เล่นหุ้นเต็มตัว แบบเอาเป็นเอาตายเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ค้างไว้กะเทรดในเวลาทำงานก็มี ซึ่งผมเคยเห็นอยู่ไม่น้อยนะครับ เดี๋ยวนี้แอบเปิด iPad เล่นไม่ให้เจ้านายเห็นด้วย อิอิ เรื่องนี้มันจะทำให้เราถูกลดความมั่งของตัวเองได้อย่างง่ายๆ ในฐานะการเป็นมนุษย์เงินเดือนเองนั้นเราจะต้องให้เวลากับการทำงานของบริษัท ให้มาก การที่มานั่งเล่นเทรดหุ้นก็อาจจะทำให้งานเสียได้ พองานเสียก็จะมีผลต่อการประเมินผลการทำงาน หรือถ้าหากคุณเทรดไปทำงานไปแล้วให้เวลากับการทำงานมากกว่า คุณอาจจะเสียเงินจากการเทรดก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วภาระกิจแรกของการไปสู่อิสรภาพจากการลงทุนคืออิสรภาพจากการห่างหน้าจอก่อน

ไม่ดูหน้าจอแล้วจะโอเคหรอพี่? งี้มันลงก็ขาดทุนซิ

อย่างที่ผมบอกในตอนต้น ราคาหุ้นนั้นมันคือเรื่องของความคาดหวัง ถ้าคนอารมณ์ดี มีความคาดหวังมากขึ้นจากสิ่งต่างๆที่น่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตในอนาคต อันใกล้หรืออันไกล คนก็จะซื้อหุ้นกัน แต่หากคนรู้สึกว่าการลงทุนมันต้องแย่ลงแน่ๆ ดูทีท่าอะไรก็ไม่ดี ความคาดหวังของการซื้อขายหุ้นก็น้อยลง หลายคนก็อาจจะขายทำกำไรหุ้นออกมาเพื่อมานั่งคิดใหม่ว่าจะลงทุนอะไรดี ลงทุนทางเลือกดีไหม หรือเก็บเป็นเงินสดไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันที่หลังเมื่อสถานะการณ์และปัจจัย ต่างๆมันดีขึ้น พอมองภาพออกแล้วใช่ไหมครับว่าหุ้นขึ้นและลงมันเกิดจากคนที่ซื้อขายกับในตลาด บนอารมณ์และความคาดหวังกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่คนมักจะลืมกันไปก็คือ

ราคาหุ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับ กำไรจากการดำเนินงานธุรกิจในระยะสั้นหรอก
แต่ในระยะยาวแล้วธุรกิจที่เติบโตดี ใครๆก็อยากได้ ความคาดหวังก็จะกลายเป็นความจริง
ธุรกิจตัวหนึ่งมันอาจจะสร้างผลกำไรที่มหาศาลแต่คนก็ย่อมซื้อหุ้นในราคา ที่แตกต่างกัน ถ้าผมลองถามคุณอีกครั้งว่า ถ้าคุณมีเงินอยู่ 10 ล้านบาท และมีคนพร้อมจะขายธุรกิจให้คุณเพราะเขาจะย้ายไปต่างประเทศ ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดีมากๆ คู่แข่งน้อย หักค่าใช้จ่ายต้นทุนไปแล้วจะสร้างผลกำไรให้คุณถึงปีละ 2 ล้านบาท ถ้าคุณซื้อธุรกิจนี้ในราคา 10 ล้านบาทตามที่เขาเสนอขาย คุณจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปี ฟังดูแล้วดีใช่ไหมครับ? แต่เชื่อผมไหมถ้าผมบอกว่าเขาจะลดราคาให้คุณเหลือเพียง 8 ล้านบาท คุณอาจจะดีใจมากๆที่คุณจะเป็นเจ้าของ ยิ่งลดราคาก็ยิ่งอยากได้ใช่ไหมครับ

ธุรกิจ ซื้อมา 10 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 5 ปี คืนทุน ปีที่ 4 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
ธุรกิจ ซื้อมา 8 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 4 ปี คืนทุน ปีที่ 5 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
(ผมขอใช้วิธีคิดแบบเส้นตรงนะครับ พูดถึงเรื่องราคาเป็นหลัก ไม่ได้มีการปรับค่าใช้จ่าย กำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้น เงื่อนไขอื่นๆที่อาจจะกระทบ)

พอดูอย่างงี้แล้วมันดูมีความสุขใช่ไหมที่คุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ราคา ถูกลง แต่ถ้าเกิดในทางกลับกัน มันกลับมีใครบางคนที่สนใจและยินดีในธุรกิจแบบนี้ด้วยล่ะ? แล้วเขาบอกว่า เขาจะขอซื้อเพิ่มในราคาที่แพงขึ้นเพราะเขาอยากได้มากๆ เขากลัวว่าเราจะได้ไป ยอมคืนทุนช้าเพื่อให้คนขายเปลี่ยนใจมาขายเขา

ธุรกิจ ซื้อมา 12 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 6 ปี คืนทุน ปีที่ 7 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
ธุรกิจ ซื้อมา 14 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 7 ปี คืนทุน ปีที่ 8 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
(ผมขอใช้วิธีคิดแบบเส้นตรงเช่นเดิมครับ ไม่มีเงื่อนไขอื่น)

คุณรู้สึกเปลี่ยนไปไหมว่าคุณเองไม่อยากจะซื้อธุรกิจที่มีราคาแพง? วิธีการลงทุนแบบการออมหุ้นก็ใช้วิธีคิดในแนวทางนี้ได้เช่นเดียวเหมือนกัน และแน่นอนว่าหากคุณเลือกธุรกิจที่สามรถสร้างผลกำไรได้มากยิ่งขึ้น ราคาหุ้นก็ย่อมมีมูลค่าสูงขึ้นในระยะยาวเพราะความคาดหวังมันเปลี่ยนเป็นความ จริงแล้ว ธุรกิจที่มีการเติบโตจริง มีกำไรมากขึ้น ราคาหุ้นมันก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา

ออมหุ้นผ่อนส่งความรวย
ตกลงคุณอยากได้ธุรกิจที่มีราคาแพงหรือราคาถูก? แน่นอนว่าใครๆก็อยากซื้อถูกและขายมันในราคาที่แพงใช่ไหมครับ แต่อย่างที่เราทราบกันดี ราคาหุ้น มันขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา หุ้นตัวเดียวกัน บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 10 บาท บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 9 บาท บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 12 บาท ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนที่ซื้อทั้งนั้น พอเป็นเช่นนี้ หลายๆคนก็อาจจะตั้งคำถามว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าควรซื้อตอนไหน? ตอนไหนมันจะลงเยอะๆให้เราซื้อ ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ มันอยู่ที่อารมณ์ ความพอใจ สภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำเป็นอันดับแรกก่อนคือ

1. คุณต้องซื้อธุรกิจที่มีกำไร มีเงินสดเข้ามาในบริษัท และ มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆถ้า คุณลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท มีร้านค้าเปิด 1 สาขา แล้วกิจการโตขึ้นทำกำไรได้มากขึ้น จนคุณมี 20 สาขา ใครมาขอซื้อหุ้นที่ 10 ล้านบาทเท่าเดิม คุณก็ไม่ขายหรอกครับ ขายทำไม ฮาๆ

2. หลีกเลี่ยงธุรกิจที่มีการขาดทุน ไม่เห็นอนาคตว่าธุรกิจนั้นจะเป็นอย่างไร : ใน ทางกลับกัน ถ้ามีคนลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท มีร้านค้าเปิด 1 สาขา แล้วกิจการขาดทุนเรื่อยๆ จนต้องขายร้านทิ้งเหลือเงินอยู่ 2 ล้านบาท แล้วมีคนบอกว่า มาซื้อต่อหน่อย ธุรกิจนี้ขาย 12 ล้าน ใครจะไปซื้อละท่าน!!

3. หลีกเลี่ยงการเล่นกับราคาหุ้น : จาก 2 ข้อเราจะเห็นได้ว่าราคาซื้อขายมันไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจเท่าไหร่กำไรก็เท่า เดิมแต่ราคาซื้อขายธุรกิจไม่เท่ากันเราต้องมามองลึกๆกับตัวธุรกิจและหาทาง ซื้อในวิธีการที่เหมาะสม แต่ในระยะยาวธุรกิจที่มีผลกำไรดีแน่นอนว่าราคาหุ้นย่อมเติบโตแน่ๆ

เพราะฉะนั้นแล้วหากใครมาถามผมว่า หุ้น ABC คือหุ้นอะไร ขึ้นเยอะจัง มีข่าวอะไรหรือเปล่า น่าซื้อเปล่า? คำ ถามนี้บ่งบอกได้ทันทีว่าคุณกำลังเล่นกับราคาหุ้นแล้ว โดยที่คุณไม่รู้เลยว่าธุรกิจเป็นอย่างไร น่าลงทุนไหม ไม่ต่างกับตัวอย่างที่ผมขึ้นมาว่า กำลังมีคนกลัวคนจะได้ธุรกิจที่ราคา 10 ล้านไป เลยเสนอราคาเพิ่มไปเป็น 12 ล้าน 14 ล้าน แน่นอนว่าถ้าคุณไปเล่นกับราคา ราคามันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าคุณโชคดีหุ้นขึ้นไปตามความคาดหวังคุณก็กำไรไป แต่จะกำไรในระยะสั้นหรือระยะยาวก็อยู่ที่ธุรกิจนั้นอีก ในทางกลับกัน ถ้าคุณโชคไม่ดีเล๊ยยยยย คุณก็อาจจะขาดทุนในระยะยาวได้
เมื่อเรารู้แล้วว่า เราต้องเลือกธุรกิจที่ดีมีกำไรและเติบโตในการลงทุน วิธีการลงทุนแบบออมหุ้นจะช่วยคุณให้หลีกหนีความผันผวนจากอารมณ์ของตลาดได้ วิธีที่ผมใช้อยู่ก็คือ Dollar Cost Average นั่นคือการซื้อเฉลี่ยรายเดือน โดยคุณกำหนดเงินออมของคุณจากการบริหารรายรับ รายจ่ายแล้วนำมาซื้อหุ้นเดือนละครั้ง เงินออมในแต่ละงวดจะลงบนในหุ้นที่ราคาที่แตกต่างกัน วิธีนี้สามารถใช้บัญชีออมหุ้นและกองทุนในการซื้อได้

เดือนที่ 1 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 10 บาท ได้ 1,000 หุ้น
เดือนที่ 2 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 12 บาท ได้ 833 หุ้น 
เดือนที่ 3 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 8 บาท ได้ 1,250 หุ้น 
รวม 3 เดือน คุณจะมีหุ้นทั้งหมด 3,083 หุ้น ด้วยเงินลงทุน 30,000 บาท ราคาเฉลี่ยที่ 9.73 บาท

สังเกตไหมครับ วิธีนี้คือการลงทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ยิ่งคุณซื้อหุ้นในราคาแพง จำนวนหุ้นก็น้อยลง นั่นหมายความว่าน้ำหนักส่วนใหญ่มันจะมาถ่วงอยู่ในบริเวณราคาหุ้นที่ถูก ถ้าระยะยาวความคาดหวังเป็นความจริง ผ่านไป 3 ปี คุณทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ หุ้นราคา 50 บาท คุณก็จะเอาชนะราคาซื้อๆขายๆกันได้อย่างแน่นอน แต่หลายๆคนถามว่า

รู้งี้ แล้วไม่ซื้อที่ราคา 8 บาท ทีเดียวเลยล่ะ?
คำตอบที่ชาว “รู้งี้” ต้องทราบคือ 
1. มันก็ดีถ้าคุณรู้อนาคตได้จากอารมณ์การซื้อขาย แค่เดาว่าพรุ่งนี้แฟนจะบอกเลิกหรือเปล่ายังเดาไม่ได้เลย ภาษาอะไรกับราคาหุ้น ฮ่าๆๆ
2. คุณอาจจะเจอราคา 7 บาท 6 บาทต่ออีกก็ได้ในอนาคต ถึงเวลาอาจจะไม่กล้าซื้อก็ได้เพราะกลัวจะลงไป 5 บาทอีก
3. มันยากที่มนุษย์เงินเดือนจะมีเงินก้อน 10 ล้านทุ่มทีเดียวใน ถึงเวลามีจังหวะก็อาจจะไม่มีเงินซื้อก็ได้ การวางแผนเงินออมจึงเป็นปัจจัยแรกที่ต้องทำ
4. ถ้าคุณรอไปเรื่อยๆแล้วไม่รู้ว่าราคาต่ำจะมาอีกเมื่อไหร่ เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ความคาดหวังกลายเป็นความจริง มันจะไม่มีราคา 7-8 บาทให้คุณซื้อ ต่ำในอนาคตอาจจะเป็นที่ราคา 15-16 บาทก็ได้ ส่วนราคาปกติก็อยู่แถวๆที่ 20 บาท

วิธีการนี้เป็นการลงทุนแบบที่เหมาะสมกับมนุษย์เงินเดือนมากๆ อย่างแรกคือคุณสามารถหลีกหนีจากหน้าจอหุ้นได้ เพียงแค่เราไม่ใส่ใจกับราคาหุ้นก็จบ ขอให้เราเข้าใจว่าเรากำลังลงทุนกับอะไรความเสี่ยงเป็นอย่างไร และถ้าจะให้ดี คุณอาจจะมานั่งดูเพิ่มเติมได้ว่า หุ้นหรือกองทุนอันไหนที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลด้วย ระจะได้มีเงินใช้ระหว่างทาง การสะสมหุ้นหรือหน่วยลงทุนมากขึ้นมันก็จะทำให้เราสามารถได้รับเงินปันผลที่ มากขึ้นได้เมื่อเทียบกับการอัตราจ่ายเท่าเดิม แต่ในความเป็นจริงหุ้นที่ดีระยะยาวคุณจะมีจำนวนหุ้นเยอะพร้อมๆกับการจ่ายปัน ผลในอัตราก้าวหน้า และนี่ก็คือคำตอบของการ ออมหุ้นแบบ DCA (Dollar Cost Average) ที่จะมาช่วยให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้

ทำได้… แต่ใช้เวลา… และไม่ง่าย เพราะต้องมีวินัยในการลงทุนเสมอนะครับ….

อย่างที่ผมบอก ถ้าคุณมีค่าใช้จ่ายเพียงเดือนละ 10,000 บาท แต่คุณมีรายได้จากการลงทุนปีละมากกว่า 120,000 บาท (ตัวเลขสมมุต) การลาออกจากงานประจำโดยมีเงินกระแสเงินสดให้ใช้จ่ายรายเดือนก็ย่อมทำได้ คุณก็สามารถเสี่ยงมาทำกิจการส่วนตัวหรืออาชีพอิสระได้มากขึ้น หากคุณยังเป็น มนุษย์เงินเดือนอยู่ เริ่มต้นเมื่อไหร่ก็ได้ จัดการเงินออมให้ดี เปิดบัญชีออมหุ้น เลือกหุ้น เลือกกองทุนให้ดี และอย่าลืมว่าอย่าไปสนใจกับราคาซื้อขายรายวันได้ เราเอาชีวิตของเราไปพัฒนาตัวเองดีกว่าเงินเดือนจะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย อย่าลืมนะครับ อิสรภาพจากการลงทุนเริ่มต้นจากการห่างหน้าจอหุ้น และเมื่อประกอบกับงานที่เราอยากจะทำและฝันที่จะทำในอนาคตแล้วเราก็ทำควบคู่ กันไปเรื่อยๆ พร้อมเมื่อไหร่เราก็ลุยกิจการส่วนตัวเราได้เลย

ขอขอบคุณบทความจาก :: http://www.aommoney.com/tarkawin/invest-chill-chill/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การเข้าใช้งาน investorChart Advance


สวัสดีครับ เป็นยังไงบ้างหลังจากที่ทาง บริษัท อินเวสเตอร์ ฟอรัม ได้เปิดเว็บแอพ investorChart Advance ไป หลายๆ ท่านคงได้เริ่มใช้งานกันมาบ้างแล้ว และบางท่านคงไม่ทราบว่า
วิธี การใช้งานจะใส่ indicator ยังไงและมี Tool อะไรบ้าง วันนี้เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยนะครับ

การใช้งานเข้าไป chart.investor.co.th กดปุ่ม Advance Mode ลืมบอกไปครับ เวอร์ชั่นนี้ใช้งานได้บน PC นะครับ


พอกด Advance Mode และจะเข้าหน้าต่าง investorChart Advance






Tool หลักๆจะมีสองส่วนด้วยกัน 

1.จะเป็นเกี่ยวกับการพิมพ์ชื่อหุ้น ปรับรายเวลา ปรับรูปแบบแท่งกราฟ การใส่ indicator การตั้งค่าๆบนกราฟ


2.จะเป็นเครื่องมือวาดรูปต่างๆไม่ว่าจะเป็นการตี Trend Line , Fibonacci และอื่นอีกมากมาย


ต่อไปเรามาดูในส่วนของการพิมพ์ชื่อหุ้น และ ปรับรายเวลา กันครับ

-----------------------------------------------------------------------

1.การพิมพ์ชื่อหุ้น ปรับรายเวลา ปรับรูปแบบแท่งกราฟ การใส่ indicator การตั้งค่าๆบนกราฟ

การเปลี่ยนชื่อหุ้น 
          ก. ให้ท่านคลิ๊กซ้ายไปที่ช่องทางซ้ายสุดตามรูป
          ข. ใส่ชื่อหุ้นที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Enter



การปรับ Period ของกราฟ (แบบที่ 1) 
          ก. ให้ท่านคลิ๊กไปที่ช่องที่ขึ้นว่า D1 ตามรูป 
          ข. จากนั้นท่านก็สามารถเลือกได้เลยว่าดูเป็น period ใหน


การปรับ Period ของกราฟ (แบบที่ 2)
          ก. ให้ท่านคลิ๊กเครื่องหมาย ... หลังคำว่า D1 ตามรูปบน จากนั้นท่านจะได้หน้าจอตามรูปด้าน
          ล่าง
          ข. จากนั้นให้ท่านทำการใส่ค่าที่ต้องการ เช่น ถ้าใส่ 33 ก็จะได้ 33 นาที ถ้าใส่ 3H จะได้ 3
          ชั่วโมง



 การปรับรูปแบบกราฟ
           ก. คลิ๊กที่รูปเครื่องหมายแท่งกราฟ แท่งอ้วนคือ Candle Stick แท่งผอมคือ Bar Chart
   หรือ
           ข. คลิ๊กที่รูปเครื่องหมายลูกศรลงด้านขวา แล้วเลือกรูปแบบกราฟที่ต้องการ



-----------------------------------------------------------------------

2.เครื่องมือวาดรูปต่างๆไม่ว่าจะเป็นการตี Trend Line , Fibonacci และอื่นๆ

เครื่องมือสำหรับตีเส้นต่างๆ
          1. หมวดเครื่องมือสำหรับเปลี่ยน function cursor
                    เครื่องมือตัวนี้จะช่วยให้คุณใช้งานกราฟได้ง่ายขึ้น ทั้งตัว Crosshair, Dot, Arrow จะ
                    ช่วยให้คุณกำหนดจุดของกราฟได้อย่างแม่นยำ และ Eraser ขะช่วยให้คุณลบเส้นที่
                    ไม่ต้องการออกได้อย่างง่ายๆ

          2. หมวดเครื่องมือการตีเส้น (Basic)
                    เครื่องมือหมวดนี้เป็นเครื่องมือการตีเส้น Trend และเส้นลากต่างๆ ช่วยให้คุณวิเคราะห์
                    ได้ง่ายขึ้น
          3. หมวดเครื่องมือการตีเส้น (Advance)
                    หมวดนี้จะรวบรวมเครื่องมือตีเส้นอย่าง Fibonacci, Pitchfork, Gann เอาใว้ในนี้ทั้งหมด
          4. หมวดเครื่องมือตีกรอบ
                    หมวดนี้มีใว้ให้ท่านตีเส้นกรอบ ลากเส้นหลายๆรูปแบบ หรือแม้กระทั่งวาดรูปขึ้นมาเอง
          5. หมวดการใส่ comment
                    ในหมวดนี้ ท่านสามารถใส่ Comment ส่วนตัวของท่าน หรือใส่เครื่องหมายแสดงราคา
                    ได้โดยใช้ตัวช่วยที่เราจัดเตรียมใว้ให้
          6. หมวด Pattern กราฟและ Elliott Wave
                    สำหรับท่านที่กำลังศึกษา Pattern ของกราฟหรือชอบใช้งานกราฟในรูปแบบ Pattern
                    ในหมวดนี้ก็รวบรวมเครื่องมือการใช้งานเหล่านี้ใว้ให้ท่านแล้ว
          7. หมวดการกำหนดจุด stop loss
                    ในหมวดนี้ท่านจะได้ใช้งานตัวช่วยกำหนดกำไรและกำหนดจุด stop loss ซึ่งเครื่องมือนี้
                    จะช่วยให้ท่านเห็นภาพเปอร์เซ็นกำไร และหยุดความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          8. หมวดสติกเกอร์
                    ในหมวดนี้ท่านสามารถเอาสัญลักษณ์ต่างๆที่โชว์มาใส่ลงในกราฟของท่าน โดยท่าน
                    สามารถประยุคต์ใช้ได้ตามใจชอบ
 

หมวดเครื่องมือ Zoom และอุปกรณ์ชี้วัด
          1. Zoom in 
                    เครื่องมืออันนี้มีใว้ให้ท่านได้ขยายขนาดกราฟ โดยที่ท่านสามารถกำหนดกรอบที่
                    ต้องการดูด้วยตัวท่านเอง
                    
          2. Zoom out 
                    เครื่องมือที่ที่ทำหน้าที่ย่อขนาดกราฟ จะมีให้ใช้หลังจากที่ท่านได้ทำการ Zoom in 
                    ไปแล้ว

          3. Measure
                    เครื่องมือนี้จะทำหน้าที่คล้ายไม้บรรทัด มีใว้ให้ท่านใช้กำหนดกรอบราคา

------------------------------------------------------------------------

3. เครื่องมือตั้งค่าทั่วไป และ Indicator

หมวด Chart Properties
          1.Style
                    หน้าต่างที่รวบรวมเครื่องมือปรับสี และหน้าตาของกราฟ ท่านสามารถปรับให้เข้ากับ
                    สไตล์ของท่านได้ที่นี่


          2. Background
                    หน้าต่างสำหรับปรับแต่งพื้นหลังของกราฟ รวมไปถึงเส้น Grid ต่างๆ สามารถปรับได้ที่นี่



          3. Scale
                    หน้าต่างสำหรับการปรับแต่งเส้น Scale ท่านสามารถเลือกตำแหน่งที่อยู่และอื่นๆที่
                    เกี่ยวกับ Scale ได้ที่นี่



หมวด Indicator
          ท่านสามารถใส่ Indicator ได้ โดยเลือกจาก List ที่เราจัดหามาให้ท่านได้เลือกใช้งาน



หมวด Compare, Add Symbol
          หมวดนี้ท่านสามารถนำเส้นราคาจากหุ้นตัวอื่นมาลงใว้ในหน้าต่างเดียวกันได้ เพียงแค่ท่าน
          เลือกหัวข้อนี้แล้วพิมพ์ชื่อหุ้นเข้าไปเท่านั้น









------------------------------------------------------------------------







หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com




วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

จะเริ่มเล่นหุ้นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ต้องรู้อะไรบ้างในเบื้องต้น

คำกล่าวที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครา” แม้เวลาจะเปลี่ยนไปเท่าไหร่ก็ยังใช้ได้เสมอ แม้ในสนามรบทุนนิยมอย่างตลาดหุ้นก็เช่นกัน ถ้าเราเตรียมตัวเองให้พร้อม และมีการศึกษาตลาด ศึกษาตัวหุ้น รวมถึงเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดด้วย โอกาสที่เราจะทำกำไรจากการเล่นหุ้นก็มีมากขึ้นเช่นกันครับ


การจะเริ่มเล่นหุ้นนั้นก่อนอื่น เราต้องรู้เรา หรือรู้ตัวเองก่อนครับว่า เราพร้อมแค่ไหน กับการที่จะเข้ามาทำกำไรในตลาดทุนแห่งนี้ (ส่วนรู้เขานั้นเราต้องไปวิเคราะห์กันในสภาพตลาดอีกทีว่าเหมาะสมกับการเล่น ของเราหรือไม่ ต้องใช้เครื่องมือหรือการวิเคราะห์แบบไหนเข้าไปตรวจจับ ซึ่งจะเป็นในเชิงลึกแล้ว เราค่อยมาว่ากันทีหลัง ตอนนี้เรามาดูในเบื้องต้นกันก่อน)
สิ่งที่เราต้องรู้ตัวเราเองและต้องเตรียมในขั้นแรกๆ คือ เงินทุนและความรู้ โดยเฉพาะความรู้ถ้าเรามีไม่พอ ก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนเงินรายได้ไปให้กับมือเก๋าๆ ในตลาดครับ

เล่นหุ้นต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่?

ในการลงทุน เงินทุนยิ่งมากก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่สำหรับมือใหม่แนะนำว่าเริ่มต้นที่ 100,000 บาทก่อนก็ดีครับ เก็บความรู้เก็บประสบการณ์ไปก่อน ถ้าเก่งแล้วค่อยเพิ่มทุน ก็ยังไม่สายเกินไป
ที่จริงแล้วการจะใช้เงินทุนเท่าไหร่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับว่ารูปแบบการลงทุน ของเพื่อนๆ นักลงทุนเป็นแบบไหน  และลงทุนในหุ้นตัวไหน มีน้อยก็เริ่มจากลงทุนน้อยๆ ได้ แต่สำคัญที่ ว่าเงินที่นำมาลงทุนในหุ้นนี้ ต้องเป็นเงินเย็น เงินที่เรากันไว้จากเงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันปกติแล้ว เป็นเงินที่เราไม่ได้จำเป็นต้องดึงกลับมาใช้ในเวลาอันใกล้นี้ เพราะอาจจะเกิดปัญหาที่ว่าเงินยังไม่ได้ออกดอกออกผลตามที่ควรจะเป็น กลับต้องดึงกลับมาใช้จ่ายซะแล้ว จะเสียประโยชน์ในระยะยาวเสียเปล่าๆ ครับ

ในการเล่นหุ้นต้องรู้อะไรบ้าง?

  1. รู้ว่าสิ่งที่เราจะลงทุนคืออะไร มีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร ซึ่งในที่นี้คือ หุ้น และอย่าลืมว่าราคาของหุ้นจะขึ้นจะลงได้ แท้จริงแล้วจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้นๆ เป็นสำคัญ ไม่ใช่เกิดจากการทำราคาหุ้น ปั่นราคาหุ้น เพราะถึงจะทำราคาอย่างไร สุดท้ายแล้วราคาก็จะกลับมาเคลื่อนไหวตามผลการดำเนินงานของธุรกิจอยู่ดีแหละ ครับ ควรศึกษาไปให้ลึกถึงขั้นรู้ความเป็นมาของหุ้นแต่ล่ะตัวว่า เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร ใครเป็นผู้บริหาร สัญญาอะไรไว้ทำได้ตามนั้นหรือไม่ มีผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีเป้าหมายในอนาคตอย่างไร อะไรเป็นจุดอ่อนจุดแข็งของธุรกิจนี้บ้าง เป็นต้น ถึงแม้ในตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเราจะมีหุ้นอยู่ 500 กว่าตัว แต่ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกตัวหรอกครับ เลือกหุ้นที่เราสนใจ และอยู่ในธุรกิจที่เราเข้าใจดี แล้วเข้าซื้อขายให้ถูกจังหวะก็เพียงพอแล้ว
  2. รู้ว่าตัวเราเองเหมาะกับการลงทุนแบบไหน เล่นสั้น กลาง หรือว่าลงทุนระยะยาว ชอบแบบเน้นตั้งรับกินปันผล หรือว่า ชอบเชิงรุกแบบแนววิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งการลงทุนแต่ละแบบ วิธีการแต่ล่ะแบบก็จะแตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อนๆ ก็ควรจะต้องรู้ตัวเองให้ได้ว่าเหมาะกับแบบไหน และทุกแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน เช่นเล่นสั้นจะเห็นผลได้เร็วกว่า การเล่นระยะยาว แต่ก็ต้องใช้การตัดสินใจที่บ่อยครั้งกว่า และใช้เวลาในการติดตามราคามากกว่าการเล่นระยะยาวเป็นต้น ที่สำคัญต้องรู้ว่า เข้าซื้อวิธีไหนก็ขายออกด้วยวิธีนั้น ไม่ใช่ว่าตอนซื้อมาแบบนักลงทุนระยะสั้น แต่พอหุ้นไม่เป็นไปตามคาดก็ไม่ยอมตัดขาดทุน กลายเป็นนักลงทุนระยะยาวจำเป็นซะงั้น แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ
  3. รู้ว่าจะใช้เครื่องมือชนิดใด การวิเคราะห์แบบไหนมาเป็นตัวช่วยในการลงทุน หรือมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งหลักๆ แล้วจะมีอยู่สองแบบคือ
  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental Analysis) ซึ่งก็ต้องติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท ดูบัญชีเป็น ดูงบการเงินเป็น ดูแนวโน้มการเติมโตของบริษัทนั้นๆ ได้ และเข้าซื้อเมื่อเห็นว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ วิธีนี้ส่วนใหญ่ในบ้านเราจะรู้จักกันในนาม VI การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) นักลงทุนระดับโลกที่ใช้แนวทางนี้ก็ได้แก่ Benjamin Graham, Warren Buffett,  Philip Fisher รวมถึง Peter Lynch เป็นต้น ส่วนในไทยเราก็มี อาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, นพ.บำรุง ศรีงาน(หมอสามัญชน แห่ง ThaiVI.com) เป็นต้นครับ
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค(Technical Analysis) ซึ่งก็ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาของหุ้นนั้นๆ อ่านกราฟเป็น ใช้อินดิเคเตอร์เป็น เข้าใจแนวโน้มของราคา (Trends) เข้าใจรูปแบบของราคา (Patterns) เพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อขายให้ถูกจังหวะ นักลงทุนระดับโลกที่ใช้แนวทางนี้ก็ได้แก่ George Soros, Jesse L. Livermore,  Ed Seykota เป็นต้น  ส่วนในไทยเราก็มี คุณลุงโฉลก(chaloke.com) คุณมัดเลย์ (mudleygroup.blogspot.com) คุณเด่นศรี (dsm.pantipmember.com) เป็นต้นครับ
มีทุน  มีความรู้พร้อมแล้ว ก็ไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ได้เลย หรืออาจจะเปิดไว้ก่อนแล้วค่อยไปหาความรู้ก็ได้ไม่ว่ากันครับ

เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต้องทำอย่างไร?

อย่างแรกเลยคือต้องเตรียมหลักฐานเหล่านี้ให้พร้อม
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือหนังสือเดินทาง
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สำเนาใบแจ้งรายการบัญชีธนาคารหรือสำเนาสมุดเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
  • แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (ATS) (อันนี้หากเราต้องการให้โบรกเกอร์ตัดเงินจากบัญชีได้เลยก็กรอกไปได้เลยครับ แต่ถ้าต้องการโอนเงินเข้าเองไม่ต้องการให้หักอัตโนมัติก็ไม่ต้องกรอกตัวนี้ครับ)
  • ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
จากนั้นก็เลือกโบรกเกอร์ได้เลย เพื่อนสามารถดูรายชื่อโบรกเกอร์ได้ที่ http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html
หากทุนน้อยและต้องการเทรดบ่อยๆ ก็สามารถเลือก โบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ ที่ตอนนี้มี บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กับ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ครับ
ตามลิ้งค์ด้านบนเพื่อนๆ สามารถกรอกข้อมูลสมัครทางออนไลน์ได้เลยครับแล้วเราก็ปริ้นออกมาเซนต์กำกับ หรือว่าโบรกเกอร์เขาจะส่งเอกสารมาให้กรอกทางไปรษณีอีกที อันนี้แล้วแต่โบรกเกอร์ หรือว่าถ้ามีสำนักงานโบรกเกอร์อยู่ใกล้บ้าน เพื่อนๆ สามารถโทรให้เขามาหาถึงบ้านพร้อมกับเอกสารการสมัครได้เลย โบรกเกอร์ต้องการลูกค้าใหม่ๆ อยู่แล้วเลยแข่งกันบริการเต็มที่
ส่วนระยะเวลาอนุมัติส่วนใหญ่จะประมาณ 7 วัน ถ้าเกินนี้โทรจิกไปเลย หรือไปตั้งกระทู้ที่ พันทิบ ห้อง สินทร (http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/) ก็ได้ รับรองได้เรื่อง

ต้องเปิดบัญชีประเภทไหน?

มือใหม่ควรเปิดแบบ บัญชีเงินฝาก (Cash Balance Account) ซึ่งเราต้องฝากเงินเข้าไปมีเงินเท่าไหร่ซื้อหุ้นได้เท่านั้น เพิ่งเริ่มอย่าเพิ่งเปิดแบบบัญชีเงินกู้ยืม (Credit Balance Account) ไว้เราบริหารจัดการการเงิน (Money Management) ได้เก่งแล้วค่อยมาว่ากันอีกที
และแนะนำว่าให้เปิดบัญชีแบบเล่นหุ้นออนไลน์จะสะดวกมากๆ ครับ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราจะกำหนดวงเงินที่ต้องใช้เงินในการ เปิดบัญชีออนไลน์ขั้นต่ำที่ประมาณ 5,000 ถึง 50,000 บาทครับ แล้วไม่ต้องกลัวว่าเงินของเราจะไปนอนนิ่งเฉยๆ ไม่ยอมทำงาน เพราะโบรกเกอร์เขาก็มีดอกเบี้ยเงินฝากให้ด้วยครับ
อย่าลืมนะครับก่อนเล่นหุ้นด้วยเงินจริง ความรู้เพื่อนๆ ต้องพร้อม เพราะในสนามแห่งนี้ต่อให้เพื่อนๆ มีเครื่องมือดีขนาดใหน สุดท้ายก็ต้องสู้กันด้วยความรู้และประสบการณ์อยู่ดีครับ
อยากให้เพื่อนๆ ที่เล่นหวย หันมารวยด้วยการเล่นหุ้นกันเยอะๆ แต่ไม่ใช่ว่าเห็นตัวเลขราคาแล้วมาเล่นหวยหุ้นกันอีกนะ อันนั้นหนักกว่าเดิมอีก

ขอบคุณบทความจาก ::http://www.stocktipsdd.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/


หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

Ads Inside Post