ลงทุนในหุ้นฉบับ “มนุษย์เงินเดือน” ทำอย่างไร?
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา “การเล่นหุ้น” เป็นสิ่งที่ “มนุษย์เงินเดือน”
มองว่ามันเป็นความหวังและทางออกของอิสรภาพทางการเงินนะครับ
แต่ถ้าไปถามเรื่องราวของหุ้นกับผู้ใหญ่ในรุ่นก่อนหน้าเรา
โดนเฉพาะผู้ที่ผ่านวิกฤตการต้มยำกุ้ง
เขาอาจจะให้ความเห็นแตกต่างกับเราไปในทำนองว่า หุ้นมันคือการพนัน
อย่าเล่นเลย มันน่ากลัว อันตราย
และจะบรรยายเหตุการณ์ที่มีคนพยายามฆ่าตัวตาย
ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ ม.3-ม.4 ได้
เวลาไปไหนต่อไหนก็จะมีแต่คนพูดเรื่องนี้ ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจหรอก
เวลานั่งแท็คซี่พี่คนขับก็บรรยายให้ฟังเพราะว่าหลายคนทำงานประจำอยู่ เช่น
ในภาคธนาคาร สถาบันการเงิน แต่ถูกปลดจากงานทั้งๆที่มีภาระหนี้
ต้องมาขับแท็คซี่เพื่อหารายได้แทน หนึ่งในคำถามที่ผมคิดมาตลอดก็คือ “ตกลงหุ้นมันคือการพนันหรือการลงทุนกันแน่ละครับ?”
ราคาหุ้นมีทั้งขึ้น มีทั้งลง ระดับวินาที นาที วัน เดือน ปี
ทุกๆวันจะมีคนขาดทุนและมีคนกำไรจากการซื้อขาย
แต่จะมีบางคนที่สร้างผลตอบแทนตลอดการอยู่เช่นกัน
ลาออกจากมนุษย์เงินเดือนมาเล่นหุ้นดีไหม??? ชิวดี!!! สร้างอิสรภาพทางการเงินได้ด้วย?
ผมเชื่อว่าหลายคนมีความคิดเช่นนี้
โดยเฉพาะในช่วงหุ้นที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้นอยู่ต่อเนื่อง แน่สิ!!!
แค่พูดถึงงานประจำยังอยากลาออกเลย
พอคนเอาเรื่องการสร้างรายได้ด้วยการลงทุนในหุ้นมาใส่สมองแล้วยิ่งอยากลาออก
เข้าไปใหญ่ งานอะร๊ายยย!!! นั่งอยู่กับบ้านกระดิกขา กดปุ่ม “Buy”
หุ้นขึ้นๆๆๆ กดปุ่ม “Sell” ขาย ลงทุนซัก 100,000 บาท ขายตอนกำไรซัก 1-2% พอ
ถ้าได้กำไรมาวันละ 1,000 – 2,000 บาท คิดไปคิดมา เทรดจันทร์ถึงศุกร์ 22
วันได้เดือนละ 44,000 บาท ได้เงินเดือนกว่าการทำงานประจำอีก
และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายเข้ามาศึกษาการ
เล่นหุ้น สร้างผลกำไร และหลายคนเข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นแล้วก็พบว่า
ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
หุ้นมันไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว มันมีลงด้วย
การที่เรามองแง่ดีอย่างไม่โลภว่าแค่ได้กำไรวันละ 1,000-2,000 บาท
กำไรนิดๆหน่อยๆขายก็สบายแล้ว ถอนมาใช้รายวันได้อย่างง่ายๆ
แต่ถ้าวันดีคืนดีคุณต้องพบเหตุการณ์ “ขาดทุน” ขึ้นมาวันละ 1-2% บ้างล่ะ?
โอ้ย!!! จะเป็นลมให้ได้เลยใช่ไหม
และถ้าคุณต้องใช้เงินทั้งก้อนนั้นซึ่งเป็นเงินก้อนเดียวที่มีอยู่ในการใช้
ชีวิตชิวๆ
มันก็อาจจะทำให้เราแย่ได้เพราะไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายรายวันแทน เงินมันฝากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ขาดทุนย่อยยับ ไม่กล้าขายหรอกครับ
และถ้าขายไป เงินที่เคยได้มาก็คืนให้กับตลาดไปหมดแล้ว
ส่วนใหญ่คนที่เล่นกับการซื้อขายจากการทำกำไรในราคาหุ้นมักจะขาดทุนมากกว่า
กำไร ภาษาบ้านๆที่เราชอบพูดกันก็คือ “แมงเม่า”
และคุณต้องเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ
ราคาหุ้นที่ขึ้นลงๆเป็นเรื่องแห่งความคาดหวัง ไม่มีทางที่ทุกคนจะรวยขึ้นพร้อมกันได้ในระยะสั้นๆ
ขณะที่บริษัทต้องใช้เวลาในการเติบโตที่นานกว่านั้น
เมื่อมีความคาดหวังก็ต้องมีการลดความคาดหวัง เมื่อมีการซื้อเพื่อแสวงหากำไร
ก็ต้องมีคนขายเพื่อทำกำไร ในระยะสั้นก็ย่อมมีคนถอนความมั่งคั่งไป
ในขณะที่คนที่เหลืออยู่ก็ต้องถูกลดความมั่งคั่งลงเช่นกัน
คำถามที่หลายๆคนอาจจะสงสัยก็คือ “ทำไมหลายๆคนดูกราฟเก่ง เขาก็เก็งกำไรกันได้มากๆ” อัน
นี้ก็เป็นศาสตร์ของการลงทุนแบบหนึ่งที่คุณสามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้นะครับ
มีหลายคนประสบความสำเร็จในการลงทุนนี้
คุณต้องมองให้ออกและใช้เวลาศึกษามันให้มากพอสมควร
แต่ในส่วนตัวของผมเองคิดว่าการลงทุนที่ผมอยากจะแนะนำให้กับมนุษย์เงินเดือน
หรือคนที่อยากออกจากงานประจำเพื่อไปทำงานฟรีแลนซ์ได้เป็นทางเลือกคือ “การออมหุ้น”
“การออมหุ้น” เหมาะสมกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างไร?
หลายคนอยากจะสร้างความมั่งคั่งก็เลยลงมา
เล่นหุ้นเต็มตัว
แบบเอาเป็นเอาตายเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ค้างไว้กะเทรดในเวลาทำงานก็มี
ซึ่งผมเคยเห็นอยู่ไม่น้อยนะครับ เดี๋ยวนี้แอบเปิด iPad
เล่นไม่ให้เจ้านายเห็นด้วย อิอิ
เรื่องนี้มันจะทำให้เราถูกลดความมั่งของตัวเองได้อย่างง่ายๆ
ในฐานะการเป็นมนุษย์เงินเดือนเองนั้นเราจะต้องให้เวลากับการทำงานของบริษัท
ให้มาก การที่มานั่งเล่นเทรดหุ้นก็อาจจะทำให้งานเสียได้
พองานเสียก็จะมีผลต่อการประเมินผลการทำงาน
หรือถ้าหากคุณเทรดไปทำงานไปแล้วให้เวลากับการทำงานมากกว่า
คุณอาจจะเสียเงินจากการเทรดก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วภาระกิจแรกของการไปสู่อิสรภาพจากการลงทุนคืออิสรภาพจากการห่างหน้าจอก่อน
ไม่ดูหน้าจอแล้วจะโอเคหรอพี่? งี้มันลงก็ขาดทุนซิ
อย่างที่ผมบอกในตอนต้น ราคาหุ้นนั้นมันคือเรื่องของความคาดหวัง
ถ้าคนอารมณ์ดี
มีความคาดหวังมากขึ้นจากสิ่งต่างๆที่น่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตในอนาคต
อันใกล้หรืออันไกล คนก็จะซื้อหุ้นกัน
แต่หากคนรู้สึกว่าการลงทุนมันต้องแย่ลงแน่ๆ ดูทีท่าอะไรก็ไม่ดี
ความคาดหวังของการซื้อขายหุ้นก็น้อยลง
หลายคนก็อาจจะขายทำกำไรหุ้นออกมาเพื่อมานั่งคิดใหม่ว่าจะลงทุนอะไรดี
ลงทุนทางเลือกดีไหม
หรือเก็บเป็นเงินสดไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันที่หลังเมื่อสถานะการณ์และปัจจัย
ต่างๆมันดีขึ้น
พอมองภาพออกแล้วใช่ไหมครับว่าหุ้นขึ้นและลงมันเกิดจากคนที่ซื้อขายกับในตลาด
บนอารมณ์และความคาดหวังกันทั้งนั้น
แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่คนมักจะลืมกันไปก็คือ
ราคาหุ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับ กำไรจากการดำเนินงานธุรกิจในระยะสั้นหรอก
แต่ในระยะยาวแล้วธุรกิจที่เติบโตดี ใครๆก็อยากได้ ความคาดหวังก็จะกลายเป็นความจริง
ธุรกิจตัวหนึ่งมันอาจจะสร้างผลกำไรที่มหาศาลแต่คนก็ย่อมซื้อหุ้นในราคา
ที่แตกต่างกัน ถ้าผมลองถามคุณอีกครั้งว่า ถ้าคุณมีเงินอยู่ 10 ล้านบาท
และมีคนพร้อมจะขายธุรกิจให้คุณเพราะเขาจะย้ายไปต่างประเทศ
ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดีมากๆ คู่แข่งน้อย
หักค่าใช้จ่ายต้นทุนไปแล้วจะสร้างผลกำไรให้คุณถึงปีละ 2 ล้านบาท
ถ้าคุณซื้อธุรกิจนี้ในราคา 10 ล้านบาทตามที่เขาเสนอขาย
คุณจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปี ฟังดูแล้วดีใช่ไหมครับ?
แต่เชื่อผมไหมถ้าผมบอกว่าเขาจะลดราคาให้คุณเหลือเพียง 8 ล้านบาท
คุณอาจจะดีใจมากๆที่คุณจะเป็นเจ้าของ ยิ่งลดราคาก็ยิ่งอยากได้ใช่ไหมครับ
ธุรกิจ ซื้อมา 10 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 5 ปี คืนทุน ปีที่ 4 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
ธุรกิจ ซื้อมา 8 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 4 ปี คืนทุน ปีที่ 5 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
(ผมขอใช้วิธีคิดแบบเส้นตรงนะครับ
พูดถึงเรื่องราคาเป็นหลัก ไม่ได้มีการปรับค่าใช้จ่าย กำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้น
เงื่อนไขอื่นๆที่อาจจะกระทบ)
พอดูอย่างงี้แล้วมันดูมีความสุขใช่ไหมที่คุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ราคา
ถูกลง แต่ถ้าเกิดในทางกลับกัน
มันกลับมีใครบางคนที่สนใจและยินดีในธุรกิจแบบนี้ด้วยล่ะ? แล้วเขาบอกว่า
เขาจะขอซื้อเพิ่มในราคาที่แพงขึ้นเพราะเขาอยากได้มากๆ เขากลัวว่าเราจะได้ไป
ยอมคืนทุนช้าเพื่อให้คนขายเปลี่ยนใจมาขายเขา
ธุรกิจ ซื้อมา 12 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 6 ปี คืนทุน ปีที่ 7 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
ธุรกิจ ซื้อมา 14 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 7 ปี คืนทุน ปีที่ 8 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
(ผมขอใช้วิธีคิดแบบเส้นตรงเช่นเดิมครับ ไม่มีเงื่อนไขอื่น)
คุณรู้สึกเปลี่ยนไปไหมว่าคุณเองไม่อยากจะซื้อธุรกิจที่มีราคาแพง?
วิธีการลงทุนแบบการออมหุ้นก็ใช้วิธีคิดในแนวทางนี้ได้เช่นเดียวเหมือนกัน
และแน่นอนว่าหากคุณเลือกธุรกิจที่สามรถสร้างผลกำไรได้มากยิ่งขึ้น
ราคาหุ้นก็ย่อมมีมูลค่าสูงขึ้นในระยะยาวเพราะความคาดหวังมันเปลี่ยนเป็นความ
จริงแล้ว ธุรกิจที่มีการเติบโตจริง มีกำไรมากขึ้น
ราคาหุ้นมันก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา
ออมหุ้นผ่อนส่งความรวย
ตกลงคุณอยากได้ธุรกิจที่มีราคาแพงหรือราคาถูก?
แน่นอนว่าใครๆก็อยากซื้อถูกและขายมันในราคาที่แพงใช่ไหมครับ
แต่อย่างที่เราทราบกันดี ราคาหุ้น มันขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา หุ้นตัวเดียวกัน
บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 10 บาท บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 9 บาท
บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 12 บาท ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนที่ซื้อทั้งนั้น
พอเป็นเช่นนี้ หลายๆคนก็อาจจะตั้งคำถามว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าควรซื้อตอนไหน?
ตอนไหนมันจะลงเยอะๆให้เราซื้อ ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ มันอยู่ที่อารมณ์
ความพอใจ สภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำเป็นอันดับแรกก่อนคือ
1. คุณต้องซื้อธุรกิจที่มีกำไร มีเงินสดเข้ามาในบริษัท และ มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ : ถ้า
คุณลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท มีร้านค้าเปิด 1 สาขา
แล้วกิจการโตขึ้นทำกำไรได้มากขึ้น จนคุณมี 20 สาขา ใครมาขอซื้อหุ้นที่ 10
ล้านบาทเท่าเดิม คุณก็ไม่ขายหรอกครับ ขายทำไม ฮาๆ
2. หลีกเลี่ยงธุรกิจที่มีการขาดทุน ไม่เห็นอนาคตว่าธุรกิจนั้นจะเป็นอย่างไร : ใน
ทางกลับกัน ถ้ามีคนลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท มีร้านค้าเปิด 1 สาขา
แล้วกิจการขาดทุนเรื่อยๆ จนต้องขายร้านทิ้งเหลือเงินอยู่ 2 ล้านบาท
แล้วมีคนบอกว่า มาซื้อต่อหน่อย ธุรกิจนี้ขาย 12 ล้าน ใครจะไปซื้อละท่าน!!
3. หลีกเลี่ยงการเล่นกับราคาหุ้น : จาก 2
ข้อเราจะเห็นได้ว่าราคาซื้อขายมันไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจเท่าไหร่กำไรก็เท่า
เดิมแต่ราคาซื้อขายธุรกิจไม่เท่ากันเราต้องมามองลึกๆกับตัวธุรกิจและหาทาง
ซื้อในวิธีการที่เหมาะสม
แต่ในระยะยาวธุรกิจที่มีผลกำไรดีแน่นอนว่าราคาหุ้นย่อมเติบโตแน่ๆ
เพราะฉะนั้นแล้วหากใครมาถามผมว่า หุ้น ABC คือหุ้นอะไร ขึ้นเยอะจัง มีข่าวอะไรหรือเปล่า น่าซื้อเปล่า? คำ
ถามนี้บ่งบอกได้ทันทีว่าคุณกำลังเล่นกับราคาหุ้นแล้ว
โดยที่คุณไม่รู้เลยว่าธุรกิจเป็นอย่างไร น่าลงทุนไหม
ไม่ต่างกับตัวอย่างที่ผมขึ้นมาว่า กำลังมีคนกลัวคนจะได้ธุรกิจที่ราคา 10
ล้านไป เลยเสนอราคาเพิ่มไปเป็น 12 ล้าน 14 ล้าน
แน่นอนว่าถ้าคุณไปเล่นกับราคา ราคามันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
ถ้าคุณโชคดีหุ้นขึ้นไปตามความคาดหวังคุณก็กำไรไป
แต่จะกำไรในระยะสั้นหรือระยะยาวก็อยู่ที่ธุรกิจนั้นอีก ในทางกลับกัน
ถ้าคุณโชคไม่ดีเล๊ยยยยย คุณก็อาจจะขาดทุนในระยะยาวได้
เมื่อเรารู้แล้วว่า เราต้องเลือกธุรกิจที่ดีมีกำไรและเติบโตในการลงทุน
วิธีการลงทุนแบบออมหุ้นจะช่วยคุณให้หลีกหนีความผันผวนจากอารมณ์ของตลาดได้
วิธีที่ผมใช้อยู่ก็คือ Dollar Cost Average
นั่นคือการซื้อเฉลี่ยรายเดือน โดยคุณกำหนดเงินออมของคุณจากการบริหารรายรับ
รายจ่ายแล้วนำมาซื้อหุ้นเดือนละครั้ง
เงินออมในแต่ละงวดจะลงบนในหุ้นที่ราคาที่แตกต่างกัน
วิธีนี้สามารถใช้บัญชีออมหุ้นและกองทุนในการซื้อได้
เดือนที่ 1 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 10 บาท ได้ 1,000 หุ้น
เดือนที่ 2 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 12 บาท ได้ 833 หุ้น
เดือนที่ 3 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 8 บาท ได้ 1,250 หุ้น
รวม 3 เดือน คุณจะมีหุ้นทั้งหมด 3,083 หุ้น ด้วยเงินลงทุน 30,000 บาท ราคาเฉลี่ยที่ 9.73 บาท
สังเกตไหมครับ วิธีนี้คือการลงทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก
ยิ่งคุณซื้อหุ้นในราคาแพง จำนวนหุ้นก็น้อยลง
นั่นหมายความว่าน้ำหนักส่วนใหญ่มันจะมาถ่วงอยู่ในบริเวณราคาหุ้นที่ถูก
ถ้าระยะยาวความคาดหวังเป็นความจริง ผ่านไป 3 ปี คุณทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ หุ้นราคา 50 บาท คุณก็จะเอาชนะราคาซื้อๆขายๆกันได้อย่างแน่นอน แต่หลายๆคนถามว่า
รู้งี้ แล้วไม่ซื้อที่ราคา 8 บาท ทีเดียวเลยล่ะ?
คำตอบที่ชาว “รู้งี้” ต้องทราบคือ
1. มันก็ดีถ้าคุณรู้อนาคตได้จากอารมณ์การซื้อขาย แค่เดาว่าพรุ่งนี้แฟนจะบอกเลิกหรือเปล่ายังเดาไม่ได้เลย ภาษาอะไรกับราคาหุ้น ฮ่าๆๆ
2. คุณอาจจะเจอราคา 7 บาท 6 บาทต่ออีกก็ได้ในอนาคต ถึงเวลาอาจจะไม่กล้าซื้อก็ได้เพราะกลัวจะลงไป 5 บาทอีก
3. มันยากที่มนุษย์เงินเดือนจะมีเงินก้อน
10 ล้านทุ่มทีเดียวใน ถึงเวลามีจังหวะก็อาจจะไม่มีเงินซื้อก็ได้
การวางแผนเงินออมจึงเป็นปัจจัยแรกที่ต้องทำ
4. ถ้าคุณรอไปเรื่อยๆแล้วไม่รู้ว่าราคาต่ำจะมาอีกเมื่อไหร่ เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ความคาดหวังกลายเป็นความจริง มันจะไม่มีราคา 7-8 บาทให้คุณซื้อ ต่ำในอนาคตอาจจะเป็นที่ราคา 15-16 บาทก็ได้ ส่วนราคาปกติก็อยู่แถวๆที่ 20 บาท
วิธีการนี้เป็นการลงทุนแบบที่เหมาะสมกับมนุษย์เงินเดือนมากๆ
อย่างแรกคือคุณสามารถหลีกหนีจากหน้าจอหุ้นได้
เพียงแค่เราไม่ใส่ใจกับราคาหุ้นก็จบ
ขอให้เราเข้าใจว่าเรากำลังลงทุนกับอะไรความเสี่ยงเป็นอย่างไร และถ้าจะให้ดี
คุณอาจจะมานั่งดูเพิ่มเติมได้ว่า
หุ้นหรือกองทุนอันไหนที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลด้วย
ระจะได้มีเงินใช้ระหว่างทาง
การสะสมหุ้นหรือหน่วยลงทุนมากขึ้นมันก็จะทำให้เราสามารถได้รับเงินปันผลที่
มากขึ้นได้เมื่อเทียบกับการอัตราจ่ายเท่าเดิม
แต่ในความเป็นจริงหุ้นที่ดีระยะยาวคุณจะมีจำนวนหุ้นเยอะพร้อมๆกับการจ่ายปัน
ผลในอัตราก้าวหน้า และนี่ก็คือคำตอบของการ ออมหุ้นแบบ DCA (Dollar Cost
Average) ที่จะมาช่วยให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้
ทำได้… แต่ใช้เวลา… และไม่ง่าย เพราะต้องมีวินัยในการลงทุนเสมอนะครับ….
อย่างที่ผมบอก ถ้าคุณมีค่าใช้จ่ายเพียงเดือนละ 10,000 บาท
แต่คุณมีรายได้จากการลงทุนปีละมากกว่า 120,000 บาท (ตัวเลขสมมุต)
การลาออกจากงานประจำโดยมีเงินกระแสเงินสดให้ใช้จ่ายรายเดือนก็ย่อมทำได้
คุณก็สามารถเสี่ยงมาทำกิจการส่วนตัวหรืออาชีพอิสระได้มากขึ้น หากคุณยังเป็น
มนุษย์เงินเดือนอยู่ เริ่มต้นเมื่อไหร่ก็ได้ จัดการเงินออมให้ดี
เปิดบัญชีออมหุ้น เลือกหุ้น เลือกกองทุนให้ดี
และอย่าลืมว่าอย่าไปสนใจกับราคาซื้อขายรายวันได้
เราเอาชีวิตของเราไปพัฒนาตัวเองดีกว่าเงินเดือนจะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย
อย่าลืมนะครับ อิสรภาพจากการลงทุนเริ่มต้นจากการห่างหน้าจอหุ้น
และเมื่อประกอบกับงานที่เราอยากจะทำและฝันที่จะทำในอนาคตแล้วเราก็ทำควบคู่
กันไปเรื่อยๆ พร้อมเมื่อไหร่เราก็ลุยกิจการส่วนตัวเราได้เลย
ขอขอบคุณบทความจาก :: http://www.aommoney.com/tarkawin/invest-chill-chill/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80
หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย
Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com
Facebook :; www.facebook.com/InvestorZcom
Twitter :: https://twitter.com/investorZcom
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น