วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลงทุนในหุ้นฉบับ “มนุษย์เงินเดือน” ทำอย่างไร?


ลงทุนในหุ้นฉบับ “มนุษย์เงินเดือน” ทำอย่างไร?

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา “การเล่นหุ้น” เป็นสิ่งที่ “มนุษย์เงินเดือน” มองว่ามันเป็นความหวังและทางออกของอิสรภาพทางการเงินนะครับ แต่ถ้าไปถามเรื่องราวของหุ้นกับผู้ใหญ่ในรุ่นก่อนหน้าเรา โดนเฉพาะผู้ที่ผ่านวิกฤตการต้มยำกุ้ง เขาอาจจะให้ความเห็นแตกต่างกับเราไปในทำนองว่า หุ้นมันคือการพนัน อย่าเล่นเลย มันน่ากลัว อันตราย และจะบรรยายเหตุการณ์ที่มีคนพยายามฆ่าตัวตาย ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ ม.3-ม.4 ได้ เวลาไปไหนต่อไหนก็จะมีแต่คนพูดเรื่องนี้ ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจหรอก เวลานั่งแท็คซี่พี่คนขับก็บรรยายให้ฟังเพราะว่าหลายคนทำงานประจำอยู่ เช่น ในภาคธนาคาร สถาบันการเงิน แต่ถูกปลดจากงานทั้งๆที่มีภาระหนี้ ต้องมาขับแท็คซี่เพื่อหารายได้แทน หนึ่งในคำถามที่ผมคิดมาตลอดก็คือ “ตกลงหุ้นมันคือการพนันหรือการลงทุนกันแน่ละครับ?”

ราคาหุ้นมีทั้งขึ้น มีทั้งลง ระดับวินาที นาที วัน เดือน ปี
ทุกๆวันจะมีคนขาดทุนและมีคนกำไรจากการซื้อขาย
แต่จะมีบางคนที่สร้างผลตอบแทนตลอดการอยู่เช่นกัน

ลาออกจากมนุษย์เงินเดือนมาเล่นหุ้นดีไหม??? ชิวดี!!! สร้างอิสรภาพทางการเงินได้ด้วย?

ผมเชื่อว่าหลายคนมีความคิดเช่นนี้ โดยเฉพาะในช่วงหุ้นที่มีราคาปรับตัวสูงขึ้นอยู่ต่อเนื่อง แน่สิ!!! แค่พูดถึงงานประจำยังอยากลาออกเลย พอคนเอาเรื่องการสร้างรายได้ด้วยการลงทุนในหุ้นมาใส่สมองแล้วยิ่งอยากลาออก เข้าไปใหญ่ งานอะร๊ายยย!!! นั่งอยู่กับบ้านกระดิกขา กดปุ่ม “Buy” หุ้นขึ้นๆๆๆ กดปุ่ม “Sell” ขาย ลงทุนซัก 100,000 บาท ขายตอนกำไรซัก 1-2% พอ ถ้าได้กำไรมาวันละ 1,000 – 2,000 บาท คิดไปคิดมา เทรดจันทร์ถึงศุกร์ 22 วันได้เดือนละ 44,000 บาท ได้เงินเดือนกว่าการทำงานประจำอีก และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายเข้ามาศึกษาการ เล่นหุ้น สร้างผลกำไร และหลายคนเข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นแล้วก็พบว่า ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

หุ้นมันไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว มันมีลงด้วย

การที่เรามองแง่ดีอย่างไม่โลภว่าแค่ได้กำไรวันละ 1,000-2,000 บาท กำไรนิดๆหน่อยๆขายก็สบายแล้ว ถอนมาใช้รายวันได้อย่างง่ายๆ แต่ถ้าวันดีคืนดีคุณต้องพบเหตุการณ์ “ขาดทุน” ขึ้นมาวันละ 1-2% บ้างล่ะ? โอ้ย!!! จะเป็นลมให้ได้เลยใช่ไหม และถ้าคุณต้องใช้เงินทั้งก้อนนั้นซึ่งเป็นเงินก้อนเดียวที่มีอยู่ในการใช้ ชีวิตชิวๆ มันก็อาจจะทำให้เราแย่ได้เพราะไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายรายวันแทน เงินมันฝากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ขาดทุนย่อยยับ ไม่กล้าขายหรอกครับ และถ้าขายไป เงินที่เคยได้มาก็คืนให้กับตลาดไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่คนที่เล่นกับการซื้อขายจากการทำกำไรในราคาหุ้นมักจะขาดทุนมากกว่า กำไร ภาษาบ้านๆที่เราชอบพูดกันก็คือ “แมงเม่า” และคุณต้องเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ

ราคาหุ้นที่ขึ้นลงๆเป็นเรื่องแห่งความคาดหวัง ไม่มีทางที่ทุกคนจะรวยขึ้นพร้อมกันได้ในระยะสั้นๆ ขณะที่บริษัทต้องใช้เวลาในการเติบโตที่นานกว่านั้น เมื่อมีความคาดหวังก็ต้องมีการลดความคาดหวัง เมื่อมีการซื้อเพื่อแสวงหากำไร ก็ต้องมีคนขายเพื่อทำกำไร ในระยะสั้นก็ย่อมมีคนถอนความมั่งคั่งไป ในขณะที่คนที่เหลืออยู่ก็ต้องถูกลดความมั่งคั่งลงเช่นกัน

คำถามที่หลายๆคนอาจจะสงสัยก็คือ “ทำไมหลายๆคนดูกราฟเก่ง เขาก็เก็งกำไรกันได้มากๆ” อัน นี้ก็เป็นศาสตร์ของการลงทุนแบบหนึ่งที่คุณสามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้นะครับ มีหลายคนประสบความสำเร็จในการลงทุนนี้ คุณต้องมองให้ออกและใช้เวลาศึกษามันให้มากพอสมควร แต่ในส่วนตัวของผมเองคิดว่าการลงทุนที่ผมอยากจะแนะนำให้กับมนุษย์เงินเดือน หรือคนที่อยากออกจากงานประจำเพื่อไปทำงานฟรีแลนซ์ได้เป็นทางเลือกคือ “การออมหุ้น” 

“การออมหุ้น” เหมาะสมกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างไร?

หลายคนอยากจะสร้างความมั่งคั่งก็เลยลงมา เล่นหุ้นเต็มตัว แบบเอาเป็นเอาตายเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ค้างไว้กะเทรดในเวลาทำงานก็มี ซึ่งผมเคยเห็นอยู่ไม่น้อยนะครับ เดี๋ยวนี้แอบเปิด iPad เล่นไม่ให้เจ้านายเห็นด้วย อิอิ เรื่องนี้มันจะทำให้เราถูกลดความมั่งของตัวเองได้อย่างง่ายๆ ในฐานะการเป็นมนุษย์เงินเดือนเองนั้นเราจะต้องให้เวลากับการทำงานของบริษัท ให้มาก การที่มานั่งเล่นเทรดหุ้นก็อาจจะทำให้งานเสียได้ พองานเสียก็จะมีผลต่อการประเมินผลการทำงาน หรือถ้าหากคุณเทรดไปทำงานไปแล้วให้เวลากับการทำงานมากกว่า คุณอาจจะเสียเงินจากการเทรดก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วภาระกิจแรกของการไปสู่อิสรภาพจากการลงทุนคืออิสรภาพจากการห่างหน้าจอก่อน

ไม่ดูหน้าจอแล้วจะโอเคหรอพี่? งี้มันลงก็ขาดทุนซิ

อย่างที่ผมบอกในตอนต้น ราคาหุ้นนั้นมันคือเรื่องของความคาดหวัง ถ้าคนอารมณ์ดี มีความคาดหวังมากขึ้นจากสิ่งต่างๆที่น่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตในอนาคต อันใกล้หรืออันไกล คนก็จะซื้อหุ้นกัน แต่หากคนรู้สึกว่าการลงทุนมันต้องแย่ลงแน่ๆ ดูทีท่าอะไรก็ไม่ดี ความคาดหวังของการซื้อขายหุ้นก็น้อยลง หลายคนก็อาจจะขายทำกำไรหุ้นออกมาเพื่อมานั่งคิดใหม่ว่าจะลงทุนอะไรดี ลงทุนทางเลือกดีไหม หรือเก็บเป็นเงินสดไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันที่หลังเมื่อสถานะการณ์และปัจจัย ต่างๆมันดีขึ้น พอมองภาพออกแล้วใช่ไหมครับว่าหุ้นขึ้นและลงมันเกิดจากคนที่ซื้อขายกับในตลาด บนอารมณ์และความคาดหวังกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่คนมักจะลืมกันไปก็คือ

ราคาหุ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับ กำไรจากการดำเนินงานธุรกิจในระยะสั้นหรอก
แต่ในระยะยาวแล้วธุรกิจที่เติบโตดี ใครๆก็อยากได้ ความคาดหวังก็จะกลายเป็นความจริง
ธุรกิจตัวหนึ่งมันอาจจะสร้างผลกำไรที่มหาศาลแต่คนก็ย่อมซื้อหุ้นในราคา ที่แตกต่างกัน ถ้าผมลองถามคุณอีกครั้งว่า ถ้าคุณมีเงินอยู่ 10 ล้านบาท และมีคนพร้อมจะขายธุรกิจให้คุณเพราะเขาจะย้ายไปต่างประเทศ ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดีมากๆ คู่แข่งน้อย หักค่าใช้จ่ายต้นทุนไปแล้วจะสร้างผลกำไรให้คุณถึงปีละ 2 ล้านบาท ถ้าคุณซื้อธุรกิจนี้ในราคา 10 ล้านบาทตามที่เขาเสนอขาย คุณจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปี ฟังดูแล้วดีใช่ไหมครับ? แต่เชื่อผมไหมถ้าผมบอกว่าเขาจะลดราคาให้คุณเหลือเพียง 8 ล้านบาท คุณอาจจะดีใจมากๆที่คุณจะเป็นเจ้าของ ยิ่งลดราคาก็ยิ่งอยากได้ใช่ไหมครับ

ธุรกิจ ซื้อมา 10 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 5 ปี คืนทุน ปีที่ 4 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
ธุรกิจ ซื้อมา 8 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 4 ปี คืนทุน ปีที่ 5 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
(ผมขอใช้วิธีคิดแบบเส้นตรงนะครับ พูดถึงเรื่องราคาเป็นหลัก ไม่ได้มีการปรับค่าใช้จ่าย กำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้น เงื่อนไขอื่นๆที่อาจจะกระทบ)

พอดูอย่างงี้แล้วมันดูมีความสุขใช่ไหมที่คุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ราคา ถูกลง แต่ถ้าเกิดในทางกลับกัน มันกลับมีใครบางคนที่สนใจและยินดีในธุรกิจแบบนี้ด้วยล่ะ? แล้วเขาบอกว่า เขาจะขอซื้อเพิ่มในราคาที่แพงขึ้นเพราะเขาอยากได้มากๆ เขากลัวว่าเราจะได้ไป ยอมคืนทุนช้าเพื่อให้คนขายเปลี่ยนใจมาขายเขา

ธุรกิจ ซื้อมา 12 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 6 ปี คืนทุน ปีที่ 7 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
ธุรกิจ ซื้อมา 14 ล้านบาท กำไรปีละ 2 ล้านบาท : 7 ปี คืนทุน ปีที่ 8 เป็นต้นไปจะได้กำไรปีละ 2 ล้านบาท
(ผมขอใช้วิธีคิดแบบเส้นตรงเช่นเดิมครับ ไม่มีเงื่อนไขอื่น)

คุณรู้สึกเปลี่ยนไปไหมว่าคุณเองไม่อยากจะซื้อธุรกิจที่มีราคาแพง? วิธีการลงทุนแบบการออมหุ้นก็ใช้วิธีคิดในแนวทางนี้ได้เช่นเดียวเหมือนกัน และแน่นอนว่าหากคุณเลือกธุรกิจที่สามรถสร้างผลกำไรได้มากยิ่งขึ้น ราคาหุ้นก็ย่อมมีมูลค่าสูงขึ้นในระยะยาวเพราะความคาดหวังมันเปลี่ยนเป็นความ จริงแล้ว ธุรกิจที่มีการเติบโตจริง มีกำไรมากขึ้น ราคาหุ้นมันก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา

ออมหุ้นผ่อนส่งความรวย
ตกลงคุณอยากได้ธุรกิจที่มีราคาแพงหรือราคาถูก? แน่นอนว่าใครๆก็อยากซื้อถูกและขายมันในราคาที่แพงใช่ไหมครับ แต่อย่างที่เราทราบกันดี ราคาหุ้น มันขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา หุ้นตัวเดียวกัน บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 10 บาท บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 9 บาท บางคนก็ซื้อได้ที่ราคา 12 บาท ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในตอนที่ซื้อทั้งนั้น พอเป็นเช่นนี้ หลายๆคนก็อาจจะตั้งคำถามว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าควรซื้อตอนไหน? ตอนไหนมันจะลงเยอะๆให้เราซื้อ ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ มันอยู่ที่อารมณ์ ความพอใจ สภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำเป็นอันดับแรกก่อนคือ

1. คุณต้องซื้อธุรกิจที่มีกำไร มีเงินสดเข้ามาในบริษัท และ มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆถ้า คุณลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท มีร้านค้าเปิด 1 สาขา แล้วกิจการโตขึ้นทำกำไรได้มากขึ้น จนคุณมี 20 สาขา ใครมาขอซื้อหุ้นที่ 10 ล้านบาทเท่าเดิม คุณก็ไม่ขายหรอกครับ ขายทำไม ฮาๆ

2. หลีกเลี่ยงธุรกิจที่มีการขาดทุน ไม่เห็นอนาคตว่าธุรกิจนั้นจะเป็นอย่างไร : ใน ทางกลับกัน ถ้ามีคนลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท มีร้านค้าเปิด 1 สาขา แล้วกิจการขาดทุนเรื่อยๆ จนต้องขายร้านทิ้งเหลือเงินอยู่ 2 ล้านบาท แล้วมีคนบอกว่า มาซื้อต่อหน่อย ธุรกิจนี้ขาย 12 ล้าน ใครจะไปซื้อละท่าน!!

3. หลีกเลี่ยงการเล่นกับราคาหุ้น : จาก 2 ข้อเราจะเห็นได้ว่าราคาซื้อขายมันไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจเท่าไหร่กำไรก็เท่า เดิมแต่ราคาซื้อขายธุรกิจไม่เท่ากันเราต้องมามองลึกๆกับตัวธุรกิจและหาทาง ซื้อในวิธีการที่เหมาะสม แต่ในระยะยาวธุรกิจที่มีผลกำไรดีแน่นอนว่าราคาหุ้นย่อมเติบโตแน่ๆ

เพราะฉะนั้นแล้วหากใครมาถามผมว่า หุ้น ABC คือหุ้นอะไร ขึ้นเยอะจัง มีข่าวอะไรหรือเปล่า น่าซื้อเปล่า? คำ ถามนี้บ่งบอกได้ทันทีว่าคุณกำลังเล่นกับราคาหุ้นแล้ว โดยที่คุณไม่รู้เลยว่าธุรกิจเป็นอย่างไร น่าลงทุนไหม ไม่ต่างกับตัวอย่างที่ผมขึ้นมาว่า กำลังมีคนกลัวคนจะได้ธุรกิจที่ราคา 10 ล้านไป เลยเสนอราคาเพิ่มไปเป็น 12 ล้าน 14 ล้าน แน่นอนว่าถ้าคุณไปเล่นกับราคา ราคามันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าคุณโชคดีหุ้นขึ้นไปตามความคาดหวังคุณก็กำไรไป แต่จะกำไรในระยะสั้นหรือระยะยาวก็อยู่ที่ธุรกิจนั้นอีก ในทางกลับกัน ถ้าคุณโชคไม่ดีเล๊ยยยยย คุณก็อาจจะขาดทุนในระยะยาวได้
เมื่อเรารู้แล้วว่า เราต้องเลือกธุรกิจที่ดีมีกำไรและเติบโตในการลงทุน วิธีการลงทุนแบบออมหุ้นจะช่วยคุณให้หลีกหนีความผันผวนจากอารมณ์ของตลาดได้ วิธีที่ผมใช้อยู่ก็คือ Dollar Cost Average นั่นคือการซื้อเฉลี่ยรายเดือน โดยคุณกำหนดเงินออมของคุณจากการบริหารรายรับ รายจ่ายแล้วนำมาซื้อหุ้นเดือนละครั้ง เงินออมในแต่ละงวดจะลงบนในหุ้นที่ราคาที่แตกต่างกัน วิธีนี้สามารถใช้บัญชีออมหุ้นและกองทุนในการซื้อได้

เดือนที่ 1 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 10 บาท ได้ 1,000 หุ้น
เดือนที่ 2 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 12 บาท ได้ 833 หุ้น 
เดือนที่ 3 ลงทุน 10,000 บาท หุ้นราคา 8 บาท ได้ 1,250 หุ้น 
รวม 3 เดือน คุณจะมีหุ้นทั้งหมด 3,083 หุ้น ด้วยเงินลงทุน 30,000 บาท ราคาเฉลี่ยที่ 9.73 บาท

สังเกตไหมครับ วิธีนี้คือการลงทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ยิ่งคุณซื้อหุ้นในราคาแพง จำนวนหุ้นก็น้อยลง นั่นหมายความว่าน้ำหนักส่วนใหญ่มันจะมาถ่วงอยู่ในบริเวณราคาหุ้นที่ถูก ถ้าระยะยาวความคาดหวังเป็นความจริง ผ่านไป 3 ปี คุณทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ หุ้นราคา 50 บาท คุณก็จะเอาชนะราคาซื้อๆขายๆกันได้อย่างแน่นอน แต่หลายๆคนถามว่า

รู้งี้ แล้วไม่ซื้อที่ราคา 8 บาท ทีเดียวเลยล่ะ?
คำตอบที่ชาว “รู้งี้” ต้องทราบคือ 
1. มันก็ดีถ้าคุณรู้อนาคตได้จากอารมณ์การซื้อขาย แค่เดาว่าพรุ่งนี้แฟนจะบอกเลิกหรือเปล่ายังเดาไม่ได้เลย ภาษาอะไรกับราคาหุ้น ฮ่าๆๆ
2. คุณอาจจะเจอราคา 7 บาท 6 บาทต่ออีกก็ได้ในอนาคต ถึงเวลาอาจจะไม่กล้าซื้อก็ได้เพราะกลัวจะลงไป 5 บาทอีก
3. มันยากที่มนุษย์เงินเดือนจะมีเงินก้อน 10 ล้านทุ่มทีเดียวใน ถึงเวลามีจังหวะก็อาจจะไม่มีเงินซื้อก็ได้ การวางแผนเงินออมจึงเป็นปัจจัยแรกที่ต้องทำ
4. ถ้าคุณรอไปเรื่อยๆแล้วไม่รู้ว่าราคาต่ำจะมาอีกเมื่อไหร่ เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ความคาดหวังกลายเป็นความจริง มันจะไม่มีราคา 7-8 บาทให้คุณซื้อ ต่ำในอนาคตอาจจะเป็นที่ราคา 15-16 บาทก็ได้ ส่วนราคาปกติก็อยู่แถวๆที่ 20 บาท

วิธีการนี้เป็นการลงทุนแบบที่เหมาะสมกับมนุษย์เงินเดือนมากๆ อย่างแรกคือคุณสามารถหลีกหนีจากหน้าจอหุ้นได้ เพียงแค่เราไม่ใส่ใจกับราคาหุ้นก็จบ ขอให้เราเข้าใจว่าเรากำลังลงทุนกับอะไรความเสี่ยงเป็นอย่างไร และถ้าจะให้ดี คุณอาจจะมานั่งดูเพิ่มเติมได้ว่า หุ้นหรือกองทุนอันไหนที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลด้วย ระจะได้มีเงินใช้ระหว่างทาง การสะสมหุ้นหรือหน่วยลงทุนมากขึ้นมันก็จะทำให้เราสามารถได้รับเงินปันผลที่ มากขึ้นได้เมื่อเทียบกับการอัตราจ่ายเท่าเดิม แต่ในความเป็นจริงหุ้นที่ดีระยะยาวคุณจะมีจำนวนหุ้นเยอะพร้อมๆกับการจ่ายปัน ผลในอัตราก้าวหน้า และนี่ก็คือคำตอบของการ ออมหุ้นแบบ DCA (Dollar Cost Average) ที่จะมาช่วยให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้

ทำได้… แต่ใช้เวลา… และไม่ง่าย เพราะต้องมีวินัยในการลงทุนเสมอนะครับ….

อย่างที่ผมบอก ถ้าคุณมีค่าใช้จ่ายเพียงเดือนละ 10,000 บาท แต่คุณมีรายได้จากการลงทุนปีละมากกว่า 120,000 บาท (ตัวเลขสมมุต) การลาออกจากงานประจำโดยมีเงินกระแสเงินสดให้ใช้จ่ายรายเดือนก็ย่อมทำได้ คุณก็สามารถเสี่ยงมาทำกิจการส่วนตัวหรืออาชีพอิสระได้มากขึ้น หากคุณยังเป็น มนุษย์เงินเดือนอยู่ เริ่มต้นเมื่อไหร่ก็ได้ จัดการเงินออมให้ดี เปิดบัญชีออมหุ้น เลือกหุ้น เลือกกองทุนให้ดี และอย่าลืมว่าอย่าไปสนใจกับราคาซื้อขายรายวันได้ เราเอาชีวิตของเราไปพัฒนาตัวเองดีกว่าเงินเดือนจะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย อย่าลืมนะครับ อิสรภาพจากการลงทุนเริ่มต้นจากการห่างหน้าจอหุ้น และเมื่อประกอบกับงานที่เราอยากจะทำและฝันที่จะทำในอนาคตแล้วเราก็ทำควบคู่ กันไปเรื่อยๆ พร้อมเมื่อไหร่เราก็ลุยกิจการส่วนตัวเราได้เลย

ขอขอบคุณบทความจาก :: http://www.aommoney.com/tarkawin/invest-chill-chill/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Ads Inside Post