แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Fundamental Analysis แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Fundamental Analysis แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

ต้นทุนของเงินทุน


ต้นทุนของเงินทุน


การลงทุนในหุ้นหรือการลงทุนใดๆ ก็ตามจะมีต้นทุน หรือ cost of capital เสมอ เพราะมันคือค่าเสียโอกาสในการ ลงทุนอื่นๆ อย่างเช่นฝากเงินในธนาคาร ดังนั้นคุณไม่ควรลืมคิดต้นทุนนี้เสมอ
ตัวอย่างเช่นหากคุณได้กำไรจากหุ้น 6 บาท จากเงิน 100 บาท ในหนึ่งปี แต่แบงค์ ก็ให้ 6% ต่อปีอยู่แล้วก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้กำไรเลย
คิดตรงข้าม
หากว่า คุณลงทุนหุ้นแต่ไม่ได้กำไรเลย 100 เป็นเวลาหนึ่งปีก็เท่ากับว่า คุณขาดทุน 6% เช่นกัน
สูตรการคิดต้นทุนคือ

X / (1 + rate )™

X คือเงินทุน
rate คืออัตตราดอกเบียที่คุณ หาได้ในปัจจุบันมีความเสี่ยงต่ำ 0.06 คือ 6%
tm คือ จำนวนปี
100/(1.06)² = 89 บาท  ดังนั้นเงิน 100 บาทมีค่า 89 ในอนาคต

Warren


วอเรน บัฟเฟต จะใช้ดอกเบี้ยจากจากพันธบัตร ระยะยาวเท่านั้นในการคำนวณต้นทุนความเสี่ยง ของเงินทุน ไม่รวมความเสี่ยงเฉพาะหุ้น

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

การถือยาวอย่างไร โตได้มากกว่า


การถือยาวอย่างไร โตได้มากกว่า

กองทุน Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ในจดหมายประจำปี 2008 ท่านจะเห็นได้ว่า กองทุนนี้มีอัตราการขยายตัวถึง 362,319 % ระหว่างปี 1965-2008 ในขณะที่ Index S&P500 ทำได้เพียง 4,276 % ซึ่งมีความแตกต่างกันเป็นแสนเปอร์เซ็นต์ !!! น่าสนใจใช่ไหมครับ !!ยิ่งไปกว่านั้น Performance ต่อปี ของ Warren Buffett ก็เพียงประมาณ 20% เท่านั้นเอง

     เคล็ดลับของ Warren Buffett ที่แท้จริงแล้วคือ การรักษาต้นทุน ไม่ให้มีการขาดทุน จนเกิดผลกระทบต่อการสะสมกำไรในอนาคต หากสังเกตดูที่ลูกศรในรูปข้างล่างนี้ ท่านจะเห็นได้ว่า เมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ตัวของ Warren Buffett จะเสียต้นทุนเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ S&P500 จะเสียมากกว่าเยอะ

     สรุปก็คือ ท่านจะสังเกตได้ว่า กองทุนต่างๆ ที่เสียผลกำไร 30-40% ต่อปี ในบางปีนั้นๆ ในปีถัดไป ถ้าหากทำกำไรได้เพียง 30-40% กล่าวคือยังไม่ได้ทุนคืนทั้งที่เวลาผ่านไป 2 ปีเต็ม แล้วคุณรักษาต้นทุนได้หรือเปล่าครับ


ลองดู ตัวอย่างการเทรด ว่ากำไรจะโตอย่างไรในการเทรดแบบต่างๆ ในส่วนถัดไป

ตัวอย่างการเทรด แบบขาดทุนมากและแบบรักษาต้นทุนไว้

     กำไรที่จะได้ในอนาคตจะไม่โตเร็ว ถ้าหากท่านไม่ได้รักษาต้นทุนเอาไว้ และหากท่านเล่นในแบบสไตล์ VI แต่เลือกหุ้นไม่เก่ง ดังนั้นท่านต้องไม่ลืมว่า ท่านจะถือลักษณะ loss มาก ซึ่งเป็นการที่ไม่ดีแน่นอนครับ

ข้อคิดอีกอย่างคือ การซื้อหุ้นต้องมีจังหวะที่ดี จึงหมดห่วงการถือยาวๆในอนาคต



หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรมกราฟ Investor Plugin แบบ Realtime 
ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุน


กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุน

     ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบ Internet กำลังเป็นที่ยอมรับของบรรดานักลงทุนมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายแบบออนไลน์เพิ่มสูงมากอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะมีค่าคอมมิสชั่นที่ต่ำกว่าเป็นตัวดึงดูดก็เป็นได้ นอกเหนือจากสามารถจัดการซื้อขายได้ทันทีด้วยตัวเองอย่างสะดวกรวดเร็ว บรรดาผู้ที่เทรดออนไลน์ส่วนใหญ่จะอาศัยข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพราะนับว่าเป็นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่มีมากมาย และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ง่าย
     วิธีการเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ที่มีข้อดีในการดูข้อมูลข่าวสารได้ง่าย และสะดวกรวดเร็ว แต่นักลงทุนยากที่จะแยกแยะว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นเป็นจริง เท็จมากน้อยเพียงใด ซึ่งการเรียนรู้ถึงวิธีการจัดการพอร์ตการลงทุนจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง

แนวทางการเลือกหุ้นและหาจังหวะเข้าซื้อ

     จากประสบการณ์ที่ทำงานดูแลลูกค้าออนไลน์ของบริษัท พบว่าลูกค้าจะมีสไตล์การเทรดแบบเก็งกำไรเป็นส่วนมาก กล่าวคือออกเร็วเข้าเร็ว อย่างไรนั้นก็ควรศึกษาข้อมูลของหุ้นก่อนการลงทุนเสมอดังนี้
     เลือกหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ โดยเอาอาจข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ใน www.settrade.com ซึ่งได้รวบรวมบทวิเคราะห์หลายโบรกเกอร์มาไว้ด้วยกัน ซึ่งจะขอแนะนำว่าไม่ควรอ่านบทวิเคราะห์เพียงโบรกเกอร์เดียว ควรอ่านหลาย ๆ โบรกเกอร์เพื่อนำมาเป็นแนวทาง

  • ดูค่า P/E ดูค่า P/BV (ถ้าต่ำ ๆ ทั้ง 2 ตัว ย่อมดีกว่าสูง ๆ ข้อควรระวังของการเลือกค่า P/E ต่ำ ๆ กล่าวคือ ควรเลือกหุ้นที่เคยมีค่า P/E สูงในช่วงเวลาที่ตลาดเป็นภาวะขาขึ้น เมื่อเกิดภาวะตลาดอ่อนตัวลงค่า P/E ของหุ้นตัวนั้นก็จะมีค่าต่ำลง ซึ่งสามารถใช้ค่านั้นมาช่วยในการตัดสินใจเลือกหุ้นได้)

  • ดูอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield)

  • ราคาเป้าหมายโดยเฉลี่ยว่าควรเป็นเท่าใด


 เมื่อเราเลือกหุ้นที่สนใจ พร้อมมีข้อมูลพื้นฐานแล้ว จากนั้นก็หาจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น เมื่อตลาดลง เข้าซื้อหุ้นที่ดี (อาจเลือกหุ้นที่ดีที่สุด ซึ่งอยู่ในกลุ่มนำตลาดในขณะนั้น) มีอนาคต ในราคาถูกเป็นจำนวนมาก และจะขายหุ้นของเขาในราคาแพงยามที่ตลาดเป็นขาขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั่นคือ เขาจะซื้อหุ้นสวนทางกับตลาดเสมอ กล่าวคือเมื่อตลาดลง เขาจะซื้อหุ้นที่ดี มีอนาคตในราคาถูกเป็นจำนวนมาก และจะขายหุ้นของเขาในราคาแพงยามที่ตลาดเป็นขาขึ้น หรือกลยุทธ์การลงทุนของจอห์น เนฟฟ์ อดีตผู้จัดการกองทุนหุ้น Windsor ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในอเมริกา วิธีการลงทุนของเขานั้นเน้นที่การซื้อหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำ มีเงินปันผลและมีอัตราการเติบโตพอประมาณ

ลดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุน


  • ควรกระจายในหลาย ๆ กลุ่มธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดควรกระจายสินทรัพย์ในหลายประเภทด้วย เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ไม่ใช่ลงแต่หุ้นทั้งหมด เพื่อไม่ให้สนองตอบความเปลี่ยนแปลงของตัวเลขทางเศรษฐกิจไปในทางเดียวกันหมด

  • กระจายการลงทุนโดยเลือกหุ้นเด่นที่มีพื้นฐานดีแค่ 4-5 กลุ่มอุตสาหกรรม

  • เข้า – ออกระหว่างหุ้นตามสถานการณ์





หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com


การสังเกตุ จำนวนหุ้นที่เป็นขาขึ้นในแต่ละวัน


จำนวนหุ้นที่เป็นขาขึ้นในแต่ละวัน

เราสามารถเอาสถิติของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ เปลี่ยนแปลง,ขึ้น,ลง,ไม่แปลี่ยน มาดูเป็นแผนภูมิได้ ของแต่ละวัน

นักลงทุนที่ละเอียด สามารถplotกราฟ สถิตินี้ได้ ในระยะยาวเพื่อดู แนวโน้ม ของการ ขยายตัวของตลาด โดยให้สังเกตุว่า มาจากหุ้น ในกลุ่มใด จำนวนเท่าไร เป็นต้น 

จำนวน Volume ที่เป็นขาขึ้นหรือลง ของแต่ละวัน



เมื่อเรารู้แล้ว ว่าตัวเลขหุ้นที่ขึ้นเป็นอย่าง เราก็มาดูต่อว่า แล้ว volume ของจำนวนหุ้นเหล่านั้นเป็นอย่างไร อ่านต่อ

การดูเบื้องต้น

จากรูปเราจะเห็นว่า volume ที่ขึ้นนั้นมาจากหุ้นจำนวนที่น้อยกว่า แสดงได้ว่า ตลาดหุ้น ไม่ได้ถูกเฉลี่ย เงินลงทุนกลับกระจุก ตัวในหุ้นที่ถูกสนใจ
หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
Email :: sales@investorz.com

Free Float มีความสำคัญอย่างไรกับหุ้นที่เราเลือกซื้อ


Free Float

โดยทั่วไป Free Float จะถูกคำนวณเป็น % ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ของ บริษัทหนึ่งๆ โดยมันจะแสดงถึงจำนวนหุ้นที่สามารถ มีโอกาส หรือ มีความคล่องตัวสูง ที่จะถูก แลกเปลี่ยน หรือ เปลี่ยนมือ หรือ มีการเทรด ระหว่าง ผู้ซื้อผู้ขายสูง   

การกำหนดค่า Free Float โดย กลต

  • ค่า free float ของหุ้นในแต่ละบริษัทจดทะเบียนเป็นข้อมูลที่แสดงถึงจำนวนหุ้นที่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงเพื่อการซื้อขายได้ปกติ โดยหลักการ หุ้น free float คือหุ้นที่ไม่ได้ถือโดยนักลงทุนกลุ่ม strategic shareholder และไม่ได้เป็นหุ้นที่ซื้อคืน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่ระบุชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นคนใดหรือกลุ่มใดเป็น strategic shareholder ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงได้ประมาณการค่า free float เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามข้างล่างนี้ ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่กลุ่มผู้ถือหุ้นได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีความเห็นว่าตัวเลขยังไม่ถูกต้อง สามารถติดต่อฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อปรับปรุงค่า free float
  • free float หมายถึง หุ้นของบริษัทจดทะเบียนในส่วนที่ไม่ได้ถือโดย strategic shareholder และไม่ได้เป็นหุ้นที่ซื้อคืน โดยที่ strategic shareholder หมายถึง ผู้ลงทุนที่ถือหุ้นเพื่อการมีส่วนร่วมในการบริหารหรือเพื่อเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ ในที่นี้รวมผู้ถือหุ้นกลุ่มต่อไปนี้
      1. กรรมการ ผู้จัดการ และผู้บริหาร 4 ระดับแรกนับต่อจากผู้จัดการลงมา รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง และบุคคลที่มีความสัมพันธ์
      2. ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้น > 5% โดยนับรวมผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยกเว้นผู้ถือหุ้นกลุ่มดังต่อไปนี้คือ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัย กองทุนรวม และกองทุนที่ออมแบบมีภาระผูกพัน
      3. ผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุม
    • ค่า free float ประมาณการจากข้อมูลปิดสมุดทะเบียนในการประชุมประจำปีผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุดของแต่ละบริษัทในแต่ละปี และปรับปรุงค่าประมาณการ free float ในช่วงหลังปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ในกรณีสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างปี ดังต่อไปนี้
    1. กรณีเพิ่มทุน โดย public offering, exercise warrant, preferred stock/debenture conversion จำนวนหุ้นที่ออกใหม่นับเป็นหุ้น free float
    2. กรณีเพิ่มทุน โดย private placement จำนวนหุ้นที่ออกใหม่นับเป็นหุ้นที่ถือโดย strategic shareholder
    3. การเปลี่ยนแปลงการถือครองหลักทรัพย์ของผู้บริหารตามรายงานแบบ 59-2
    4. กรณีผู้ถือหุ้นกลุ่ม strategic shareholder ขายหุ้นออกโดย public offering หุ้นที่ขายออกนับเป็น free float
    5. กรณีหุ้นที่เป็น treasury stock การซื้อกลับคืนทำให้ free float ลดลง และการนำหุ้นออกขายจะทำให้ free float เพิ่มขึ้น
    • แหล่งข้อมูลที่ใช้ประมาณการค่า free float มาจากฐานข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ยกเว้นข้อมูลจากรายงาน 59-2 มาจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
    เราจะตีความค่าเหล่านี้ได้อย่างไร...

    หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

    Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
    Email :: sales@investorz.com

    Can a stock have a negative PE ratio - PE ติดลบได้หรือเปล่า?


     YES! คำตอบก็คือใช่ Price to earnings ratio PE หรือ P/E สามารถติดลบได้ อย่างไรก็ดี ในวงการ การเงิน เราไม่ค่อยพบตัวเลขแบบนี้ ตัวอย่างเช่น จากรายงานของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะให้ บริษัทที่มี PE ติดลบ โชว์ค่าเป็น 0
         ทั้งนี้ ไม่ได้ผิดอะไร เพราะต่างประเทศก็อาจจะ ใช้คำว่า 'invalid' หรือ 'not applicable' เช่นกัน อย่างไรก็ดี โปรแกรมอินเวสเตอร์ จะนำเอาค่าที่ติดลบจริงมาแสดงให้เห็น

    การคำนวณค่า PE ติดลบ 

         PE จะติดลบได้ ก็ต่อเมื่อ บริษัทมีงบการเงินที่ขาดทุน ค่า EPS เป็น loss คือ
         PRICE ÷ EPS
         ดังนั้นการที่เราสามารถเห็นได้ว่า PE มีค่าติดลบ มากขึ้นหรือลดลงจึงมีความสำคัญในการเปรียบเทียบหุ้นด้วยกัน

    PE กับความเข้าใจทั่วไป 

         ค่า PE โดยมาก มักถูกยกมาใช้ในการเลือกหุ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งในบางครั้งก็สามารถใช้ได้ดี แต่บางครั้งก็แทบจะบอกอะไรไม่ได้เลย โดยส่วนมากใช้กันอย่าง over used

         ถ้าหากท่านสังเกตให้ดีโดยมากแล้วค่า PE จะมีผลลัพธ์ที่ดีมาก หากท่านใช้ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา เพราะบริษัทที่สามารถรักษาระดับ PE ไว้ได้ในช่วงเวลาแบบนี้ได้ ราคาหุ้นจะเป็นช่วงเวลาที่ discounted ลงมา

         ในขณะที่ถ้าท่านใช้ค่า PE วัดผลในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดี หุ้นที่ดีจะมีค่า PE อยู่ในช่วง premium กล่าวคือ หุ้นที่มี PE ต่ำมักจะมี PE ต่ำอยู่ร่ำไป ในขณะที่หุ้นเป็น premium มีจะมี PE ที่สูงตลอด

    เราควรเล่นหุ้นที่มี PE ติดลบหรือไม่ 

         โดยทั่วไปแล้ว ไม่ควร แต่บางครั้งบริษัทสามารถแก้ปัญหาได้ดี อาจจะมีงบการเงินที่เปลี่ยนแปลงฉับพลันในไตรมาสติดๆ กันในทางที่ดี ออกจากลักษณะกราฟสีแดงเป็นกราฟสีเขียว ก็อาจจะเป็นที่สนใจของกองทุนต่างๆ ได้

    หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

    Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
    Email :: sales@investorz.com

    จอร์จ ตัน เผยเทคนิคเซียนหุ้นขาใหญ่


    จอร์จ ตัน เผยเทคนิคเซียนหุ้นขาใหญ่ 
    รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ก่อนจะทำศึก นอกจากคุณจะสำรวจความพร้อมของตัวเองให้ดีแล้ว คุณจะจำเป็นต้องสนใจพฤติกรรมและกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน คุณจำเป็นต้องเรียนรู้กลเม็ดเผด็จศึกของขาใหญ่ ที่คอยวางแผนจะกินเงินคุณทุกวินาที คุณต้องคอยเงี่ยหูฟังว่ารายใหญ่เขาคิดอะไรกันอยู่ รับรองว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณจะเข้าใจหลักการของตลาดหุ้นมากขึ้น ซึ่งหวังว่าจะทำให้คุณเป็นอีกคนที่ร่ำรวยจากตลาดหุ้น
    "จอร์จ ตัน" หรือ เอกยุทธ อัญชันบุตร เซียนหุ้นขาใหญ่ เปิดเผยว่า คนที่เล่นหุ้นระดับ 1,000 ล้านขึ้นไป มีไม่เกิน 30 คน ที่เล่นหุ้นระดับ 2,000 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ 4-5 คนในตลาด

    "พวกนี้จะรู้จักกันเองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมาชนกันในตลาด จะรู้เลยว่าซื้อขายสไตล์นี้ใครเล่น ถ้าเห็นลักษณะการขายที่รุนแรงออกมา จะรู้ได้ว่าเขาถือ "ต้นทุนต่ำ" ได้กำไรกลับออกไปเยอะ คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรัฐบาล"

    รายใหญ่จะวนเวียนกับโบรกเกอร์ 5-6 แห่ง ใครก๊วนใคร หุ้นตัวนี้ "ทุ่น" ของใครสามารถยกหูเช็คข้อมูลง่ายมากผ่านโบรกเกอร์ที่ตัวเองใช้บริการ ข่าวสารสำหรับรายใหญ่ค่อนข้าง "แม่นยำ" แต่บางครั้งก็มี "ข่าวลวง" ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

    "การลากหุ้นบางครั้งจะลากครั้งละ 2-3 มือ(ตัว)พร้อมกัน พวกนี้จะมี "วอร์รูม" (ห้องปฏิบัติการ) บางกลุ่มชอบไปคุยกันในร้านอาหารว่าจะเล่นตัวไหนดี"

    ชื่อย่อถูกเรียกขาน และรู้กันเองในหมู่เซียน ภาษาที่ "เซียน" ใช้กันในตลาด
    เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า คนที่ตกใจรีบขายหุ้นราคาถูกออกมาเขาเรียกว่า "ขายหมู" คำว่า "ซื้อยกไม้" หมายถึงการเก็บหุ้นเพื่อไล่ราคา "ทุ่นใคร" หมายถึง "หุ้นตัวนี้ของใคร"

    กฎการทำกำไรของเซียน "จังหวะ" นั้นสำคัญที่สุด เอกยุทธบอกว่า คุณต้องรู้วิธีเข้า และวิธีออก แต่ไม่ใช่รู้วิธีเข้าๆ ออกๆ คนที่เข้าเร็วออกเร็วไม่มีทางรวยหุ้น..."เชื่อผม!!!"

    จังหวะตลาดสำคัญมากในการกำหนด "กำไร" ในช่วงที่ตลาดหุ้น "ขาลง" หรือ"ไซด์เวย์" รายใหญ่ที่ชอบกินคำใหญ่ๆ จะถอนตัว พวกที่เล่นจะใช้วิธี "วิ่งราว" หรือ "วิ่งเร็ว" กำไร 2-3 ช่อง (ช่วง) ราคา..."หนี"

    "ช่วงที่จังหวะตลาดไม่ดี เวลาไล่หุ้นเขาจะ "ซื้อขึ้น" จะใช้วิธีกวาดทีเดียว 3-4 ช่อง ล่อพวกตามแห่ ถ้าอยู่ดีๆ ช่อง Offer หายไป 3-4 ช่อง คนจะรีบคีย์คำสั่ง Bid (ซื้อ) ตามเข้ามา จากนั้นเขาจะลากขึ้นไป "ปล่อยของ" เหลือกำไร 2-3 ช่องก็ทิ้ง รายใหญ่ที่เล่นหุ้นในลักษณะนี้เขาเรียกว่าพวก "ฟาสต์ฟู้ด" (กินเร็ว) กินคำเล็กแล้วรีบออก"
    เอกยุทธ ย้ำว่านักเล่นหุ้นที่มือระดับเซียน เขาไม่มานั่งดูเทคนิคแล้วซื้อๆ ขายๆ แต่เขาจะเก็บข้อมูลหุ้นเป้าหมาย ต้องรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น

    "Free Float" (จำนวนหุ้นหมุนเวียน)ในตลาด "หน้าตัก" เจ้าของหุ้น ดูว่าเจ้าของหุ้น "เซียน" แค่ไหนถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วติดต่อขอนัดคุย จากนั้นถึงมาเลือกกลยุทธ์ในการเก็บหุ้นว่าจะใช้วิธี "ทุบ" หรือจะค่อยๆ เก็บ

    "ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการสร้างข่าว"

    เขาเล่าว่า นักเล่นหุ้นที่พบมีหลากหลายประเภท ทั้งดูกราฟ ดูเป้าหมายราคา มีจุดตัดลากกันมั่วไปหมด แล้วก็มีอีกประเภทหนึ่งฟังข่าวลือในตลาดอย่างเดียว พวกนี้สั่งซื้อหุ้นยังไม่รู้เลยว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ประเภทนี้ในตลาดหุ้นมีเยอะ..."เจ๊งลูกเดียว"

    "ประเภทเซียนตัวจริง ข่าวลือมาไม่สนใจ ส่วนผมชอบ "ขี่หุ้น" ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ประเภทไหน ผมจะให้น้ำหนักกับ "วอลุ่ม" มากกว่าสัญญาณทุกอย่าง หุ้นไม่มีวอลุ่มผมไม่เล่น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิค
    รู้ว่าตัวไหนกำลังถูกเก็บก็จะเข้าก่อน เวลาออกก็จะหนีก่อน"

    หุ้นที่เอกยุทธเล่นจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสขายทำกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป จังหวะที่ตลาดไม่ดีเขาจะออกจากตลาด เพราะฉะนั้น กำไรมากหรือน้อยมันบอกเป็นกฎตายตัวไม่ได้ ต้องดูแนวโน้มของหุ้น ดูแนวโน้มตลาดว่ามันขึ้นมาแล้วกี่แต้ม(จุด)

    "ช่วงที่ขึ้นจาก 605 แต้มขึ้นไป 800 แต้ม ใช้เวลา 2 เดือน ตลาดกำลังบ้าเลือด ช่วงนี้ผมได้กำไรเยอะมาก ไปเก็บไว้ก่อนช่วง 600-605 จุดเทหมดหน้าตัก"

    ในการลงทุนของเอกยุทธ จะซื้อครั้งละไม่เกิน 4-5 ตัวมากที่สุด หุ้นที่เขาเล่นมีกฎตายตัวว่าต้องมีสภาพคล่องสูง และมีวอลุ่มแน่น (เท่านั้น)...."เช่น PTT BANPU ผมได้กำไรมาเยอะ" ช่วงนั้นจะเข้าแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวละหลายร้อยล้านบาท

    เอกยุทธ บอกว่า พวกกองทุนใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่เข้ามาเล่นหุ้นไทย มันจะวนเวียนมาเจอกันในตลาด เขาเคยเจอ "จอร์จ โซรอส" มาแล้วหลายตลาด ไปเจอกันที่ลอนดอน ตอนไปทุบค่าเงินปอนด์

    "ตอนจอร์จ โซรอสทุบเงินบาทปี 2540 ผมอยู่มาเลเซีย ช่วงนั้นหายนะประเทศไทยผมอยู่ข้างนอกมองเห็นหมด
    ยังโทรมาบอกเพื่อนๆ ว่าขายทรัพย์สินให้หมด เก็บเงินสดไว้เดี๋ยวจะได้ซื้อของถูก"

    ถ้าคุณอยากเป็นรายใหญ่ เขาย้ำว่า กฎของรายใหญ่มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น
    หนึ่ง คุณต้องมี "เงินสด" ติดกระเป๋า กับอีกข้อ “อย่าโลภ” (เด็ดขาด)

    "ถ้ารู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้อง "ทิ้ง? เขาเรียกว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) และ Let Profit Run (ปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป) ช่วงที่หุ้นกำไรดีราคากำลังขึ้น ผมจะไล่ราคาตลอด สมมติว่าราคา 2 บาท กำไรเยอะแล้วล่ะ แต่ผมจะไม่ขายเลย จะเฝ้าหน้าจอตลอดว่าจะหนีหรือไม่หนี ช่วงนี้จะไม่ให้เด็กดูเลย ....ถ้ามันกลับหัวลงมาที่ 1.90 บาท..."ผมเลิก" ถ้าไปต่อที่ 2.20 ผมจะยังตามอยู่ วิธีการคือจะขยับเป้าหมายขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหักหัวลงมา 2 บาทผมถึงจะขาย แต่ถ้ามันไม่ลงไปต่อ 2.50 ถ้า ลงมา 2.30 ผมขายแต่ถ้า 2.50 ยืนได้ เป้าของผมก็ขยับไป 2.80 คือ ผมจะ Let Profit Run ตลอด ผมจะไม่ Cut เลย"

    หลักในการขายหุ้น "ขาขึ้น"
    เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า จะต้องปรับราคาขายอยู่ตลอด ถึง 2 บาทผมจะกำไรมากแล้ว แต่ถ้าราคายังวิ่งต่อ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด ใครจะมาด่าว่าโง่ก็ไม่สน เพราะไม่รู้จะขายทำไม เพื่อให้ Let Profit มัน Run ไปตลอด

    "แต่เมื่อใดที่มันเริ่มหันหัวกลับ...ผมเลิก ทุกราคาผมขายหมดจะไม่รอ และไม่เสียดายเงิน 5 สตางค์ 10 สตางค์ ทุกช่องที่มีอยู่จะโยน (ขาย) ทิ้งหมดเลย สมมติว่าถ้าราคา 2 บาทลงมา 1.80 ทุกราคาที่มี 1.80 บาทผมทิ้งหมด
    แต่ถ้าขึ้นต่อ 1.80 ผมไม่ขายแล้ว รายใหญ่เขาเล่นกันอย่างนี้"

    เอกยุทธให้นิยามของ “ความโลภ”
    ในมุมมองของเขาว่า คนที่โลภคือคนที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ประเมินภาวะตลาด เห็นคนอื่นได้ก็อยากได้ด้วย คุณอย่าคิดว่าหุ้นมันขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันขึ้นเพราะ "ดีมานด์" มันขึ้นเพราะ "ความเชื่อ" 2 ปัจจัยนี้เท่านั้น

    "ผมยกตัวอย่างเวลาคุณผ่านสี่แยกราชประสงค์ คุณยกมือไหว้พระพรหม เพราะคุณเชื่อถือ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณผ่านประตูน้ำคุณเห็นตึกใบหยก ถ้าคุณยกมือไหว้ ที่นั่นก็ "ศักดิ์สิทธิ์" เหมือนกับการเล่นหุ้น คุณซื้อเพราะคุณเชื่อ!

    ....ผมจะบอกว่าคุณเชื่อได้ แต่อย่างมงาย
    ผมเชื่อว่ามันจะขึ้นผมก็ไม่งมงายว่ามันจะขึ้นไปจนสุดยอด เพราะไม่มีอะไรขึ้นไปสุดยอดแล้วไม่มีลง ไม่มีใครขายหุ้นได้ในราคาสูงสุด ผมเองเล่นหุ้นมาเป็นสิบๆ ปี เคยขายหุ้นจุดสุดยอดไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันต้องฟลุ้คจริงๆ

    ....เพราะฉะนั้นบางคนกำไร 10-20 สตางค์ก็ขายแล้ว คือ "Cut Profit" (ตัดกำไร) แต่หุ้นตกลงมา 50 สตางค์ Let Loss Run(ปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ยอมขาย ลงมาอีกก็ไม่ยอมขาย หวังว่ามันจะกลับไปที่เก่า เล่นอย่างงี้เจ๊งแน่ๆ"

    เขากล่าวว่า ระดับมืออาชีพจริงๆ เขาจะไม่มีกฎอะไรตายตัว เช่น หุ้นลงมา 50% แล้วต้องซื้อหรือขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์แล้วต้องขาย...."ผมว่ามันเพ้อเจ้อ" หรือพวกที่ชอบซื้อหุ้น "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" เขาก็จะไม่ทำ พวกนี้จะตายช้าๆ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เล่นหุ้นขาลงซื้อถัวเฉลี่ยไม่ได้...ต้อง Cut Loss ทิ้งอย่างเดียว

    เอกยุทธเล่าว่า วิธีการของรายใหญ่บางกลุ่มซึ่งเขาถือว่า "สกปรก" ที่สุด คือ จับบริษัท "เน่า" แต่งตัวแล้วนำมาซื้อขายในตลาด หุ้นเน่าจะมาจาก 2 แหล่ง จากหมวด Rehabco (ฟื้นฟูกิจการ) และผ่านเข้ามาทาง "ไอพีโอ" (หุ้นจอง)

    ขบวนการจะเริ่มจากซื้อบริษัทที่ "เจ๊ง" ไปแล้วอาจจะอยู่ในตลาด หรือไม่ได้อยู่ในตลาด แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่หน่อยระดับหลายๆ ร้อยล้านบาทขึ้นไป เล็กๆ จะทำไม่คุ้ม ระดับที่เขาสนใจจริงๆ คือระดับ 2,000-3,000 ล้าน มันเห็นน้ำเห็นเนื้อ

    "ผมอยากจะเปรียบเหมือนกับเอาของเน่าๆ มาต้มให้ร้อน กินดูก็รู้ว่าเน่า หุ้นพวกนี้ราคาจะพุ่งแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานมันก็จะตกลงมาอย่างหนัก กราฟเหมือนยอดภูเขา"

    ส่วนหุ้น "ไอพีโอ" วิธีการที่จะได้เงินตอนเข้าตลาดจะกำหนดค่าพี/อี เรโช สูงๆ บางบริษัทพื้นฐานไม่ดี แต่ขายพี/อี 12-13 เท่า บางตัวขาย 15 เท่า "ในความเห็นผมที่มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ บริษัทใหม่เขาจะให้พี/อีไม่เกิน 8 เท่า ตลาดจะต้องเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทเป็นผู้กำหนด หรือให้โบรกเกอร์เป็นคนกำหนด ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง

    ก่อนเอาหุ้นเข้าตลาดต้องประมาณการ Cashflow และคาดการณ์กำไรปีถัดไป พอเข้าตลาดได้เงินแล้วประกาศตัวเลขขาดทุน จริงๆ แล้วเขาต้องมี Profit การันตี 3 ปี โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนรับประกัน"

    ที่ไม่ถูกต้องอีกข้อทางการต้องห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ ผู้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ (เทรดหุ้น)เพราะคุณรู้ข้อมูลภายใน ในต่างประเทศเขาไม่ให้เรื่องนี้ เพราะเป็นการชี้นำราคา

    Thanks Dang Lee [Indicator Trader facebook page] และบทความต้นทางของ Nation Group

    หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรม investorPlugin ได้ฟรี 14 วัน คลิ๊กเลย

    Tel :: 02 166 3159-61 # 103-106
    Email :: sales@investorz.com

    Ads Inside Post